ตำรวจชาว ออสเตรเลียได้เขียนสิ่งนี้ขึ้นเพื่อผู้หญิงทุกคน (ในยุคนี้ผู้ชาย ก็ควรอ่าน)
ตำรวจชาว ออสเตรเลียได้เขียนสิ่งนี้ขึ้นเพื่อผู้หญิงทุกคน (ในยุคนี้ผู้ชาย ก็ควรอ่าน)To:
ตำรวจชาว ออสเตรเลียได้เขียนสิ่งนี้ขึ้นเพื่อผู้หญิงทุกคน
นั่นเป็น เพราะว่าการลักพาตัวครั้งล่าสุดเกิดขึ้นกลางวันแสกๆ
ตั้งสติ ให้ดีก่อนจะทำการอะไรหากคุณกำลังอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ข้อความ นี้สำหรับตัวของคุณเองและเพื่อให้คุณได้แบ่งปันให้กับภรรยา ลูก หรือทุกๆ คนที่คุณรู้จัก
หลังจาก ที่คุณได้อ่านคำแนะนำที่สำคัญเหล่านี้ .. คุณอาจต้องการที่จะเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับรู้ โปรดส่งต่อให้กับคนที่คุณรักและเป็นห่วง
การระมัด ระวังล่วงหน้าไม่ต้องแลกกับความสูญเสีย เพราะฉะนั้นปลอดภัยไว้ดีที่สุด
1. เคล็ดลับ จา กวิชาเทควันโด้ ข้อศอกเป็นส่วน ที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกายของมนุษย์ หากคุณ อยู่ใกล้คนร้ายในระยะที่จะใช้มันได้....จงใช้มันซะ!
2. เคล็ดลับ จากสมุดแนะนำนักท่องเที่ยว ถ้าคนร้าย ต้องการกระเป๋าเงินหรือของมีค่าของคุณ อย่ายื่นให้กับเขา จง โยนกระเป๋าเงินของคุณไปให้ไกลจากตัวเอง.. โอกาสที่ คนร้ายจะสนใจกระเป๋าเงินของคุณนั้นมีมากกว่าที่จะสนใจคุณ และนั่นจะ ทำให้เขาต้องไปหยิบกระเป๋าเงินที่อยู่ห่างจากตัวคุณ
ตอนนี้ แหละ จงวิ่งไปอีกทิศทางหนึ่งให้เร็วที่สุด ><
3. ถ้าคุณ เกิดถูกลากหรือโยนเข้าไปในท้ายรถของคนร้าย
สิ่งที่ คุณควรทำคือให้ถีบไฟท้ายจนหลุดออกมา
ยื่นแขน ของคุณออกมาจากช่อง แล้วเริ่มโบกมืออย่างบ้าคลั่ง
คนขับไม่ เห็นสิ่งที่คุณทำ แต่คนอื่นจะเห็น
วิธีนี้ ได้ช่วยหลายต่อหลายชีวิตมาแล้ว..
4. คุณ ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะนั่งอยู่บนรถเฉยๆ หลังจากช้อปปิ้ง เที่ยว กิน หรือ ทำงานเพื่อจะแต่งหน้า เปิดผ่านหนังสือ เช็คโทรศัพท์ ฯลฯ
ห้ามทำเป็นอันขาด!
คนร้ายจะ คอยเฝ้าดูพฤติกรรมของคุณ และสิ่งที่คุณทำเป็น
การเปิด โอกาสอันเหมาะสมเพื่อให้เขาเข้ามาทางที่นั่งข้างคนขับ และเอาปืน จ่อหัวคุณเพื่อจะให้คุณขับไปตามทางที่เขาต้องการ
เพราะ ฉะนั้น....ทันทีที่คุณขึ้นรถ
จงล็อคประตู และรีบออกรถซะ........
แต่ถ้าเกิด....
คนร้ายอยู่บนรถกับคุณ
และเอาปืนจ่อขมับคุณไว้
อย่าขับรถออกไปตามที่ เขาบอก
ย้ำ:
อย่าขับรถออกไปตามที่เขาบอก
สิ่งที่ คุณควรทำคือ
เหยียบคันเร่งให้เร็วที่สุด
ขับพุ่งใส่กำแพงหรือสิ่งกีดขวางในละแวกนั้น
ถุงลมนิรภัยฝั่งคุณจะช่วยชีวิตคุณไว้
(เช่นเดียวกับฝั่งคนร้ายหากคนร้ายนั่งเบาะหน้า)
(หากคนร้ายนั่งอยู่เบาะหลัง เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส)
แต่ทันใดที่รถของคุณชน ให้รีบถอนตัวออกมา(จากถุงลมนิรภัย)
แล้ววิ่งออกจากรถสุดแรงเกิด
วิธีนี้จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นตรงที่คุณสามารถวิ่ง
เข้าหากลุ่มคนเพื่อขอความช่วยเหลือได้
หากคุณออกรถไปที่ไกลๆ ตามเส้นทาง/สถานที่ที่คนร้ายบอก
จะทำให้คนร้ายตามตัวคุณได้ง่าย เพราะคุณไม่รู้จักสถานที่นั้นดีเท่าเขา
5. ข้อแนะนำ สำหรับการเดินไปที่รถของคุณ
ในลาน/โรงจอดรถ
ก.) จงระวัง:
มองไปรอบๆ ตัวของคุณ
มองเข้าไป ในรถของคุณ
มองลอดไป บนพื้นฝั่งที่นั่งข้างคนขับ
และเบาะ หลัง
ข.) ถ้ารถของคุณมีรถตู้จอดอยู่ข้างๆ
ให้ขึ้นรถ ทางฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ
คนร้ายจะ จู่โจมเหยื่อของมันโดยการฉุด
ขึ้นรถตู้ ในขณะที่เหยื่อกำลังจะเปิดประตูขึ้นรถ
เ พราะ ฉะนั้นรถตู้น่าสงสัยเหล่านี้จึงมักที่จะจอดอยู่ฝั่งคนขับ
ค.) ให้มองไปที่รถที่จอดอยู่ข้างๆ คุณทั้งสองข้างของรถ
ถ้าเจอ ผู้ชายนั่งอยู่คนเดียวในฝั่งที่อยู่ใกล้รถของคุณมากที่สุด
สิ่งที่ คุณควรทำคือเดินกลับเข้าไปในห้าง
หรือออ ฟฟิตเพื่อขอให้ยาม รปภ. หรือตำรวจเดินมากับคุณ
เพื่ อส่ง คุณขึ้นรถ
ไม่ต้องไปคิดมากกว่าคนอื่นหรือตำรวจจะมองคุณโรคจิตหรือเปล่า
เพราะการระมัดระวังเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในสถานการณ์อันน่าสงสัย นั้น จงตระหนักอยู่เสมอว่า ปลอดภัยไว้ก่อน...
6. จง ใช้ลิฟต์ตลอดแทนที่จะใช้บันใด
เพราะบันใดเป็นสถานที่ที่แย่ที่สุดที่ผู้หญิงจะอยู่คนเดียว
มันเป็น ที่ๆ เพอร์เฟคสำหรับคนร้าย
และน่า กลัวเป็นอย่างยิ่งในยามวิกาล
7. ถ้าคนร้าย มีปืน...แต่คุณไม่ ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา จงวิ่ง!! เพราะ โอกาสที่คนร้ายจะยิงถูกคุณมีเพียง4 ครั้งใน 100 ครั้งเท่านั้น (เป้า วิ่ง) และเป็นไป ได้สูง ว่าจะไม่โดนอวัยวะสำคัญ
วิ่งงงงง งง!! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...การวิ่งซิกแซก
8. จุดอ่อน ของผู้หญิงส่วนใหญ่คือ
ขี้สงสาร ขี้เห็นใจ จงหยุดซะ
เท็ด บันดี้ เป็นฆาตรกรหน้าตาดี และการศึกษาสูง
เขาใช้จุด อ่อนข้อนี้ของผู้หญิงเพื่อลวงมาฆ่าเสมอ
เพราะ ฉะนั้นจงมีเหตุมีผล ดูสถานการณ์ด้วยความระมัดระวัง
จงช่าง สังเกต หากพบข้อสงสัยแม้เพียงข้อเดียว
ก็ควรจะลี กเลี่ยงบุคคลนั้นๆ ให้เร็วที่สุด
9. เรื่องที่ ควรตระหนักอีกข้อ:
เพิ่งจะมี คนมาเล่าให้ฉันฟังว่า เพื่อนสาวของได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กตอนกลางคืน และเธอก็คาดว่าเสียงนั่นดังมาจากระเบียงบ้านของเธอ เธอเลือกที่จะโทรแจ้งตำรวจแทนที่จะออกไปดูด้วยตัวเอง นั่นเป็นเพราะว่าเธอมีลางสังหรณ์ว่านั่นอาจจะเป็นกลลวง และตำรวจก็สั่งกับเธอว่า “ไม่ว่าจะ เกิดอะไรขึ้น ห้ามเปิดประตูเด็ด ขาด”
เธอจึง เล่าให้ตำ รวจฟังอีกว่าเสียงนั่นฟังดูเหมือนว่าเด็กนี่ได้คลานมาใกล้หน้าต่าง ของและเธอก็เป็นกังวลว่าถ้าหากเด็กคนนี้คลานออกไปถึงถนนก็จะถูกรถชน
ตำรวจจึง สั่งเธอว่า “ตอนนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างทางไปบ้านเธอแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ห้ามเปิดประตูเด็ดขาดไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรหรือเกิด อะไรขึ้น ตำรวจย้ำถึงสามรอบ”
ตำรวจเล่า ให้เธอฟังต่อว่าพวกเขาคิดว่าน่าจะเป็นฆาตรกรที่ใช้วิธีเปิดเทปเสียงเด็ก ร้องไห้เพื่อจะหลอกหล่อให้ผู้หญิงออกจากบ้านมาดู โดยที่ฆาตรกรหวังใช้จุดอ่อนของผู้หญิงคือ ความขี้เห็นใจ ขี้สงสาร นั่นเอง แต่ทางตำรวจก็ยังจับตัวฆาตรกรกลุ่มนี้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็มีการโทรมาแจ้งและได้เล่าเรื่อง เดียวกัน คือได้ยินเสียงเด็กมาจากนอกบ้าน หน้าต่าง หน้าประตู เวลากลางคืน และทุกสายที่โทรมาแจ้งล้วนแต่เป็นผู้หญิงที่ อยู่บ้านคนเดียวทั้งสิ้น
10. ถ้าคุณตื่นขึ้นมากลางดึกและได้ยินเสียงเหมือนว่าก๊อกน้ำถูกเปิด อยู่หรือท่อน้ำของคุณแตกนอกบ้าน ห้ามออกไป เดินสำรวจเด็ดขาด! เพราะมีคนกลุ่มนึงจะเข้าไปเปิดก๊อกน้ำบ้านคุณให้สุดเพื่อให้คุณได้ยินและออก มานอกบ้าน นั่นคือเวลาที่พวกเขาจะโจมตีคุณ
จงมีสติอยู่ตลอดเวลา, อยู่อย่างระมัดระวัง, ตรวจสอบความปลอดภัย, และอย่าลืมดูแลกันเองระหว่างคุณกับเพื่อนบ้านด้วย!
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554
คำแนะนำ เผชิญ กับการถูกน้ำท่วมบ้าน
ประสบการณ์จริง 25 ข้อ จากคนที่น้ำท่วมบ้านแล้ว!!
โดย Toptenthailand.com เมื่อ 26 ตุลาคม 2011 เวลา 12:42 น.
ประสบการณ์จริง 25 ข้อ จากคนที่น้ำท่วมบ้านแล้ว!!
1. อย่าเสียเวลากับการป้องกัน
หากบริเวณบ้านของท่านอยู่ในพื้นที่เสี่ยงแต่ทางการประกาศว่าระดับน้ำอาจสูงถึง 1.5 เมตร
อย่าได้เสียเวลากับการป้องกันเลยครับ ระดับน้ำที่มาถึงบ้านท่านรับรองว่า จะต่ำกว่า หรืออาจจะสูงกว่า ที่ทางการประเมิน (รับรองท่วม)
2. กระสอบทราบเป็นแค่เครื่องมือชะลอ
กระสอบทรายมิใช้แก้วสารพัดนึกครับ มันไม่สามารถกั้นน้ำได้ 100 % แค่ทำให้น้ำรั่ว หรือซึมเข้ามาได้บ้าง ท่านต้องมีการดูดออกด้วย
3. การวางกระสอบทราย เรามิใช่มืออาชีพ
การจัดเรียงกระสอบทรายต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญจริงๆๆ ผมกับเพื่อบ้าน หมดค่ากระสอบทรายไป 50,000 บาท สุดท้ายก็ละลายน้ำ
4. อย่าได้เชื่อโครงการ
อัน นี้มิได้ต่อว่าโครงการนะครับ เพียงแค่ว่าเขาประเมินสถานการณ์ต่ำไป โครงการผมลงทุนน่าจะเป็นล้าน ตั้งคันดินกระสอบทรายน่าจะกว่า 30,000 ใบ คันสูง 1.5 เมตร เครื่องสูบน้ำออกแบบตัวใหญ่ๆๆกว่า 3 ตัว (นิคมอุตสาหกรรม กี่แห่งแล้ว)
5. สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่ สิ่งที่ใช่ อาจไม่เห็น
น้ำ มิได้โจมตีจะภาคพื้นดินหรอกครับ มันมาจากใต้ดิน มันมุดกำแพงเข้ามาบางครั้งมันโพร่งให้เห็น แต่หากมันไม่โพร่งให้เห็นมันจะซึมลงท่อน้ำทิ้งของโครงการเนื่องจากท่อน้ำ ทิ้งที่วางแนวไว้ นานเข้าจะเกิดการทรุดตัว แตก ทำให้น้ำซึมเข้ามา จนกระทั้งเต็มท่อ โครงการมัวแต่อุดท่อที่ต่อกับภายนอก และไม่เห็นว่าท่อข้างในมีการรั่วซึม
6. การอุดท่อระบายน้ำเข้าบ้าน มิใช่การป้องกัน
ทุกสำนักจะบอกว่า ต้องอุดท่อระบายน้ำ ลองอ่านจากข้อสองครับ เราอาจจะรู้สึกว่าแน่นดี
เอา อยู่ น้ำไม่ผ่าน แต่ที่จริง กระสอบทรายแค่ชะลอ ทำให้น้ำผ่านยากขึ้นและที่สำคัญ พวกบ้านเดียว มีพื้นที่สวนใต้บ้านของท่านล้วนแล้วแต่เป็นโพรงน้ำจะแทรกตัวลงไปจนแน่นโพรง ใต้พื้นแล้วจะผุดออกมาตามรอยแตกของบ้านบางครั้งอาจจะดันกระเบื้องเข้าบ้าน ได้ แต่เหตุการณ์นี้เกิดได้ค่อนข้างยาก
7. ห้องน้ำคือจุดอ่อนที่สุด เมื่อน้ำเต็มท่อระบาย
จะ หาทางออกมาทั้งน้ำทิ้ง ทางพื้นที่เรียกว่า Floor Drain รวมถึงชักโครกซึ่งท่านไม่สามารถจะอุดได้ หากจะอุดจริงๆ ต้องถอดหัวชักโครกแล้วโบกปูน
8. อย่ามัวสาระวนกันการป้องกัน เมื่อน้ำบุกเข้ามาได้
ท่านจะพยายามลากกระสอบทรายมาปิด มาอุด ซึ่งไร้ประโยชน์เอาเวลาไปตรวจสอบว่า เรามีอะไรยังไม่ได้ยกขึ้นที่สูงอีกบ้าง
9. ไม่ต้องสะสมเสบียง
เพราะหากปริมาณน้ำขนาดนี้ ท่านถูกตัดไฟแน่นอนแล้วจะอยู่อย่างๆไร ผมสะสมเสบียงอยู่ได้เกือบ 3 เดือน จบข่าวตั้งแต่วันแรกแล้ว
10. ก่อปูนเป็นทางออกที่เกือบใช่ แต่…. ไปดูข้อเจ็ดครับ
หากท่านมั่นใจว่าสามารถสร้างระบบปิดในตัวบ้านท่านได้ ก็จงทำเถิดแต่หากไม่ใช่ อย่าเสียเวลา
11. ระดับความสูง
หาก ท่านเห็นน้ำขนาดนี้มาอีก ของที่ยกได้ ขอให้ระดับไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร หากจะเทินของก็ให้มั่นใจว่ากว่า บ้านผมสูงจากถนน 30 เซ็น ก่อปูนอีก ประมาณ 70 เซน สุดท้าย ไม่รอด
อย่าท้อกับของใหญ่ผมได้มีโอกาสคุยกับหลายคนที่ น้ำยังไม่ท่วม พอเจอตู้เย็น เครื่องซักผ้าเข้า ก้อไม่เอา บอกหนัก คุณยังมีเวลาครับ ทำเลย หาเพื่อนข้างบ้านมาช่วย ส่วนใหญ่ใช้วิธิเทินเอา คุณเทินสูงไม่ได้เกิน 80 ซม - 1 เมตร หรอกครับ มันจะล้ม ลองใช้ประโยชน์จากชานพักบันไดสิครับ พื้นที่ประมาณ 2×2 เมตร พอวางเครื่องซักผ้า และ ตู้เย็นใบใหญ่ได้ความสูงชานพักน่าจะสัก 1.8 - 2 เมตร น่าจะพอไหว แต่ขึ้นอยู่กับพื้นที่บ้านท่านด้วยนะครับ
12. เก็บของสำคัญพร้อมหนี
อย่ามั่วเสียเวลาในการป้องกัน จัดกระเป๋าสำรองอีกใบ เพราะเวลาขันแน่นมาก (คับขัน) ท่านจะเก็บไม่ทัน ลืมโน่นลืมนี่
13. หากท่านผ่อนบ้าน จะถูกบังคับทำประกัน จงกลับไปอ่านอนุสัญญา
บางบริษัทจะครอบคลุมน้ำท่วม หรือภัยที่มาจากน้ำท่านอาจจะได้เงินคมาจากการซ่อมบ้าน
14. ปั้มน้ำสิ่งที่ถูกลืม
ระบบ น้ำใช้ในบ้านส่วนใหญ่จะเป็น 2 ระบบ คือต่อประปาตรงกับผ่านปั้ม ท่านสามารถถอดปั้มออกก่อนได้เลยครับ แล้วปรับไปใช้ต่อตรง แต่น้ำจะเบาสักหน่อย อ้อ ถอดเสร็จอย่าลืมเอาอะไรมาหุ้มปลายน้ำเข้าบ้านด้วย กั้นไม่ให้ น้ำเสียไหลเข้าบ้าน หากไม่มีอุปกรณ์ถอด ใช้เลื่อยตัดเลยครับ ให้เหลือปลายไว้ด้วยนะครับ จะได้ต่อกลับง่ายๆ
15. ผู้ใหญ่ คนชรา เด็ก ผู้ป่วย และหมาแมวเชิญท่านออกมาก่อนครับ
จะได้ไม่พาว้าพะวง ส่วนใหญ่ที่สร้างปัญหา ไม่ใช่คนครับ สัตว์เลี้ยงของท่านนั่นแหละครับ เพราะมันลุยน้ำไม่ได้เหมือนท่าน
16. รถยนต์ปัจจัยที่ 7 ของท่านจะเป็นตัวสร้างภาระอย่างใหญ่หลวง
โดยปกติ ช่วงหน้าหมู่บ้านทุกแห่งมักต่ำกว่าบ้านในโครงการ ดังนั้น ท่านอาจจะลุยออกมาไม่ได้ หาที่จอดในเมืองเลยครับ นั่ง taxi เอา
17. ยังไม่ต้องหนีหากท่านจัดการข้อ 15,16 เรียบร้อย
ท่าน อยู่เฝ้าบ้านได้ครับ อยู่จนกว่าน้ำจะมา ลงมาดูว่าเรายังไม่เก็บอะไรอีก จากนั้น ค่อยๆ หิ้วกระเป๋าที่เตรียมไว้ เดินออกมาอย่างยิ้มแย้ม โปกมือกับเพื่อนบ้านที่โกลาหล ไม่ต้องกังวลว่าจะออกมายังไงครับ เดินลุยน้ำชิวๆๆๆมาเลย ไม่มี taxi มารับท่านหรอกครับ อาศัยโบกรถเอา เพราะตอนนั้น ถนนใหญ่ของท่าน น้ำจะสูงมาก ผมยังโบกรถ 3 ทอดกว่าจะมาถึงบ้านอีกที่หนึ่ง ถึงตอนนั้น คนไทยไม่ทิ้งกันแน่นอน รับประกัน
18. หากไม่อยากเปียกนอนต่อ ท่านยังอยู่ได้ ตราบใดที่ไฟฟ้าไม่ตัด
ปกติ ในวันแรกที่น้ำท่วม การไฟฟ้ายังไม่ตัดไฟหรอกครับ กำลังงง ยุ่งอยู่ และระดับน้ำจะเริ่มนิ่งๆๆ ขึ้นช้าๆๆๆ ท่านยังอาศัยอยู่ได้ รอจนกว่าจะมีคนมารับ แล้วเปลี่ยนบรรยากาศนั่งรถทหาร ชมวิว หรือจะรอ เรือมารับก้อได้ ลุ้นหน่อย มันดี
19. ตรวจสอบ breaker
ว่าอันไหนตัดอะไร พอน้ำมา อพยพขึ้นชั้น สอง ตัดไฟชั้นล่างให้หมดเลยครับ
20. กะละมัง อุปกรณ์ทุ่นแรง หากยังมีของแยะ
ตอนลุยออกมา เอาใส่กะละมังครับ แต่ต้องไม่รั่วนะ
21. ฟังคนอื่น ฟังหมู่บ้าน
แต่….จง เชื่อตนเองเวลาจับกลุ่มคุยทุกคนจะให้ข้อมูลในเชิงหวังดี แค่ท่วมแค่นี้แหละ ไม่มากหรอก ….อย่าลืมนะครับ คนที่ท่านคุยด้วยไม่เคยโดน ผมนี่แหละ เต็มๆๆๆๆๆ
22. สัญญาณแรก น้ำในท่อระบายน้ำหมั่นสอดส่องดูน้ำในท่อระบายน้ำครับ
หากเริ่มเห็นน้ำมาขังในท่อ แปลว่า ทัพหน้าเขามาถึงแล้ว เริ่มแทรกตัวลงมาอยู่ในท่อของเรา
23. ท่านต้องรู้ชัยภูมิหมู่บ้านท่านควรทราบว่า ทิศแต่ละทิศ ติดอะไร
หาก ติดสวน ติดนา น้ำมักจะมาล้อมท่านอย่างเงียบๆ เพราะพื้นที่รอบข้างท่านยิ่งกว้าง น้ำจะขึ้นช้าๆ ต้องคอยดู หากเริ่มมีน้ำในนา ในสวนที่ติดกับหมู่บ้าน แสดงว่าน้ำกำลังตั้งป้อมรอแล้วละ ท่านควรรู้ทางน้ำที่กำลังไหลผ่านว่า หากจะมาจะเข้ามาทางใด มั่นไปดูบ่อยๆ
24. ปิดแอร์ เปิดหน้าต่างนอนช่วงนี้
หากท่านทนไหว เปิดหน้าต่างเถอะครับเพราะหากท่านเปิดแอร์นอน ท่านจะไม่ได้ยินประกาศอะไรเลย ยิ่งอยุ่ในซอยลึกๆๆอีก
25. เทปกาวเหนียวๆ
ปิดปลั๊กไฟที่ต่ำๆ กันน้ำเข้าพอจะช่วยได้บ้างครับ เอาหลายๆๆชั้นหน่อยนะครับ
(เครดิต. สุเทพ เตมานุวัตร์)
ลองอ่านกันนะครับหวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ….
admin@nut
โดย Toptenthailand.com เมื่อ 26 ตุลาคม 2011 เวลา 12:42 น.
ประสบการณ์จริง 25 ข้อ จากคนที่น้ำท่วมบ้านแล้ว!!
1. อย่าเสียเวลากับการป้องกัน
หากบริเวณบ้านของท่านอยู่ในพื้นที่เสี่ยงแต่ทางการประกาศว่าระดับน้ำอาจสูงถึง 1.5 เมตร
อย่าได้เสียเวลากับการป้องกันเลยครับ ระดับน้ำที่มาถึงบ้านท่านรับรองว่า จะต่ำกว่า หรืออาจจะสูงกว่า ที่ทางการประเมิน (รับรองท่วม)
2. กระสอบทราบเป็นแค่เครื่องมือชะลอ
กระสอบทรายมิใช้แก้วสารพัดนึกครับ มันไม่สามารถกั้นน้ำได้ 100 % แค่ทำให้น้ำรั่ว หรือซึมเข้ามาได้บ้าง ท่านต้องมีการดูดออกด้วย
3. การวางกระสอบทราย เรามิใช่มืออาชีพ
การจัดเรียงกระสอบทรายต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญจริงๆๆ ผมกับเพื่อบ้าน หมดค่ากระสอบทรายไป 50,000 บาท สุดท้ายก็ละลายน้ำ
4. อย่าได้เชื่อโครงการ
อัน นี้มิได้ต่อว่าโครงการนะครับ เพียงแค่ว่าเขาประเมินสถานการณ์ต่ำไป โครงการผมลงทุนน่าจะเป็นล้าน ตั้งคันดินกระสอบทรายน่าจะกว่า 30,000 ใบ คันสูง 1.5 เมตร เครื่องสูบน้ำออกแบบตัวใหญ่ๆๆกว่า 3 ตัว (นิคมอุตสาหกรรม กี่แห่งแล้ว)
5. สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่ สิ่งที่ใช่ อาจไม่เห็น
น้ำ มิได้โจมตีจะภาคพื้นดินหรอกครับ มันมาจากใต้ดิน มันมุดกำแพงเข้ามาบางครั้งมันโพร่งให้เห็น แต่หากมันไม่โพร่งให้เห็นมันจะซึมลงท่อน้ำทิ้งของโครงการเนื่องจากท่อน้ำ ทิ้งที่วางแนวไว้ นานเข้าจะเกิดการทรุดตัว แตก ทำให้น้ำซึมเข้ามา จนกระทั้งเต็มท่อ โครงการมัวแต่อุดท่อที่ต่อกับภายนอก และไม่เห็นว่าท่อข้างในมีการรั่วซึม
6. การอุดท่อระบายน้ำเข้าบ้าน มิใช่การป้องกัน
ทุกสำนักจะบอกว่า ต้องอุดท่อระบายน้ำ ลองอ่านจากข้อสองครับ เราอาจจะรู้สึกว่าแน่นดี
เอา อยู่ น้ำไม่ผ่าน แต่ที่จริง กระสอบทรายแค่ชะลอ ทำให้น้ำผ่านยากขึ้นและที่สำคัญ พวกบ้านเดียว มีพื้นที่สวนใต้บ้านของท่านล้วนแล้วแต่เป็นโพรงน้ำจะแทรกตัวลงไปจนแน่นโพรง ใต้พื้นแล้วจะผุดออกมาตามรอยแตกของบ้านบางครั้งอาจจะดันกระเบื้องเข้าบ้าน ได้ แต่เหตุการณ์นี้เกิดได้ค่อนข้างยาก
7. ห้องน้ำคือจุดอ่อนที่สุด เมื่อน้ำเต็มท่อระบาย
จะ หาทางออกมาทั้งน้ำทิ้ง ทางพื้นที่เรียกว่า Floor Drain รวมถึงชักโครกซึ่งท่านไม่สามารถจะอุดได้ หากจะอุดจริงๆ ต้องถอดหัวชักโครกแล้วโบกปูน
8. อย่ามัวสาระวนกันการป้องกัน เมื่อน้ำบุกเข้ามาได้
ท่านจะพยายามลากกระสอบทรายมาปิด มาอุด ซึ่งไร้ประโยชน์เอาเวลาไปตรวจสอบว่า เรามีอะไรยังไม่ได้ยกขึ้นที่สูงอีกบ้าง
9. ไม่ต้องสะสมเสบียง
เพราะหากปริมาณน้ำขนาดนี้ ท่านถูกตัดไฟแน่นอนแล้วจะอยู่อย่างๆไร ผมสะสมเสบียงอยู่ได้เกือบ 3 เดือน จบข่าวตั้งแต่วันแรกแล้ว
10. ก่อปูนเป็นทางออกที่เกือบใช่ แต่…. ไปดูข้อเจ็ดครับ
หากท่านมั่นใจว่าสามารถสร้างระบบปิดในตัวบ้านท่านได้ ก็จงทำเถิดแต่หากไม่ใช่ อย่าเสียเวลา
11. ระดับความสูง
หาก ท่านเห็นน้ำขนาดนี้มาอีก ของที่ยกได้ ขอให้ระดับไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร หากจะเทินของก็ให้มั่นใจว่ากว่า บ้านผมสูงจากถนน 30 เซ็น ก่อปูนอีก ประมาณ 70 เซน สุดท้าย ไม่รอด
อย่าท้อกับของใหญ่ผมได้มีโอกาสคุยกับหลายคนที่ น้ำยังไม่ท่วม พอเจอตู้เย็น เครื่องซักผ้าเข้า ก้อไม่เอา บอกหนัก คุณยังมีเวลาครับ ทำเลย หาเพื่อนข้างบ้านมาช่วย ส่วนใหญ่ใช้วิธิเทินเอา คุณเทินสูงไม่ได้เกิน 80 ซม - 1 เมตร หรอกครับ มันจะล้ม ลองใช้ประโยชน์จากชานพักบันไดสิครับ พื้นที่ประมาณ 2×2 เมตร พอวางเครื่องซักผ้า และ ตู้เย็นใบใหญ่ได้ความสูงชานพักน่าจะสัก 1.8 - 2 เมตร น่าจะพอไหว แต่ขึ้นอยู่กับพื้นที่บ้านท่านด้วยนะครับ
12. เก็บของสำคัญพร้อมหนี
อย่ามั่วเสียเวลาในการป้องกัน จัดกระเป๋าสำรองอีกใบ เพราะเวลาขันแน่นมาก (คับขัน) ท่านจะเก็บไม่ทัน ลืมโน่นลืมนี่
13. หากท่านผ่อนบ้าน จะถูกบังคับทำประกัน จงกลับไปอ่านอนุสัญญา
บางบริษัทจะครอบคลุมน้ำท่วม หรือภัยที่มาจากน้ำท่านอาจจะได้เงินคมาจากการซ่อมบ้าน
14. ปั้มน้ำสิ่งที่ถูกลืม
ระบบ น้ำใช้ในบ้านส่วนใหญ่จะเป็น 2 ระบบ คือต่อประปาตรงกับผ่านปั้ม ท่านสามารถถอดปั้มออกก่อนได้เลยครับ แล้วปรับไปใช้ต่อตรง แต่น้ำจะเบาสักหน่อย อ้อ ถอดเสร็จอย่าลืมเอาอะไรมาหุ้มปลายน้ำเข้าบ้านด้วย กั้นไม่ให้ น้ำเสียไหลเข้าบ้าน หากไม่มีอุปกรณ์ถอด ใช้เลื่อยตัดเลยครับ ให้เหลือปลายไว้ด้วยนะครับ จะได้ต่อกลับง่ายๆ
15. ผู้ใหญ่ คนชรา เด็ก ผู้ป่วย และหมาแมวเชิญท่านออกมาก่อนครับ
จะได้ไม่พาว้าพะวง ส่วนใหญ่ที่สร้างปัญหา ไม่ใช่คนครับ สัตว์เลี้ยงของท่านนั่นแหละครับ เพราะมันลุยน้ำไม่ได้เหมือนท่าน
16. รถยนต์ปัจจัยที่ 7 ของท่านจะเป็นตัวสร้างภาระอย่างใหญ่หลวง
โดยปกติ ช่วงหน้าหมู่บ้านทุกแห่งมักต่ำกว่าบ้านในโครงการ ดังนั้น ท่านอาจจะลุยออกมาไม่ได้ หาที่จอดในเมืองเลยครับ นั่ง taxi เอา
17. ยังไม่ต้องหนีหากท่านจัดการข้อ 15,16 เรียบร้อย
ท่าน อยู่เฝ้าบ้านได้ครับ อยู่จนกว่าน้ำจะมา ลงมาดูว่าเรายังไม่เก็บอะไรอีก จากนั้น ค่อยๆ หิ้วกระเป๋าที่เตรียมไว้ เดินออกมาอย่างยิ้มแย้ม โปกมือกับเพื่อนบ้านที่โกลาหล ไม่ต้องกังวลว่าจะออกมายังไงครับ เดินลุยน้ำชิวๆๆๆมาเลย ไม่มี taxi มารับท่านหรอกครับ อาศัยโบกรถเอา เพราะตอนนั้น ถนนใหญ่ของท่าน น้ำจะสูงมาก ผมยังโบกรถ 3 ทอดกว่าจะมาถึงบ้านอีกที่หนึ่ง ถึงตอนนั้น คนไทยไม่ทิ้งกันแน่นอน รับประกัน
18. หากไม่อยากเปียกนอนต่อ ท่านยังอยู่ได้ ตราบใดที่ไฟฟ้าไม่ตัด
ปกติ ในวันแรกที่น้ำท่วม การไฟฟ้ายังไม่ตัดไฟหรอกครับ กำลังงง ยุ่งอยู่ และระดับน้ำจะเริ่มนิ่งๆๆ ขึ้นช้าๆๆๆ ท่านยังอาศัยอยู่ได้ รอจนกว่าจะมีคนมารับ แล้วเปลี่ยนบรรยากาศนั่งรถทหาร ชมวิว หรือจะรอ เรือมารับก้อได้ ลุ้นหน่อย มันดี
19. ตรวจสอบ breaker
ว่าอันไหนตัดอะไร พอน้ำมา อพยพขึ้นชั้น สอง ตัดไฟชั้นล่างให้หมดเลยครับ
20. กะละมัง อุปกรณ์ทุ่นแรง หากยังมีของแยะ
ตอนลุยออกมา เอาใส่กะละมังครับ แต่ต้องไม่รั่วนะ
21. ฟังคนอื่น ฟังหมู่บ้าน
แต่….จง เชื่อตนเองเวลาจับกลุ่มคุยทุกคนจะให้ข้อมูลในเชิงหวังดี แค่ท่วมแค่นี้แหละ ไม่มากหรอก ….อย่าลืมนะครับ คนที่ท่านคุยด้วยไม่เคยโดน ผมนี่แหละ เต็มๆๆๆๆๆ
22. สัญญาณแรก น้ำในท่อระบายน้ำหมั่นสอดส่องดูน้ำในท่อระบายน้ำครับ
หากเริ่มเห็นน้ำมาขังในท่อ แปลว่า ทัพหน้าเขามาถึงแล้ว เริ่มแทรกตัวลงมาอยู่ในท่อของเรา
23. ท่านต้องรู้ชัยภูมิหมู่บ้านท่านควรทราบว่า ทิศแต่ละทิศ ติดอะไร
หาก ติดสวน ติดนา น้ำมักจะมาล้อมท่านอย่างเงียบๆ เพราะพื้นที่รอบข้างท่านยิ่งกว้าง น้ำจะขึ้นช้าๆ ต้องคอยดู หากเริ่มมีน้ำในนา ในสวนที่ติดกับหมู่บ้าน แสดงว่าน้ำกำลังตั้งป้อมรอแล้วละ ท่านควรรู้ทางน้ำที่กำลังไหลผ่านว่า หากจะมาจะเข้ามาทางใด มั่นไปดูบ่อยๆ
24. ปิดแอร์ เปิดหน้าต่างนอนช่วงนี้
หากท่านทนไหว เปิดหน้าต่างเถอะครับเพราะหากท่านเปิดแอร์นอน ท่านจะไม่ได้ยินประกาศอะไรเลย ยิ่งอยุ่ในซอยลึกๆๆอีก
25. เทปกาวเหนียวๆ
ปิดปลั๊กไฟที่ต่ำๆ กันน้ำเข้าพอจะช่วยได้บ้างครับ เอาหลายๆๆชั้นหน่อยนะครับ
(เครดิต. สุเทพ เตมานุวัตร์)
ลองอ่านกันนะครับหวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ….
admin@nut
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ชื่อประเทศ ไทย เริ่มมีเมื่อไร?
สยาม (อักษรละติน: Siam)
สยาม (สันสกฤต: श्याम)
เป็นชื่อเรียกของประเทศไทยในสมัยโบราณ แต่มิใช่ชื่อที่คนไทยใช้เรียกตนเอง
สยามเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของไทยรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา
แต่ได้มีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น "ไทย" เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482
สมัย รัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม
ในอดีตพระมหากษัตริย์ไทยทรงใช้ชื่อ สยาม ในการทำสนธิสัญญากับต่างชาติเป็นเวลาหลายศตวรรษ
อันเนื่องมาจากอาณาจักรสยามนี้ประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์ อาทิ ไท ลาว มอญ ญวน เขมร แขก จีน ฝรั่ง และมลายู พระมหากษัตริย์ไทยจึงเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า ประเทศสยาม เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน
อีกทั้ง ชื่อ สยาม นั้น ก็ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในวงการวิชาการของต่างประเทศอีกด้วย
(วิกิพีเดีย)
สยาม (สันสกฤต: श्याम)
เป็นชื่อเรียกของประเทศไทยในสมัยโบราณ แต่มิใช่ชื่อที่คนไทยใช้เรียกตนเอง
สยามเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของไทยรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา
แต่ได้มีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น "ไทย" เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482
สมัย รัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม
ในอดีตพระมหากษัตริย์ไทยทรงใช้ชื่อ สยาม ในการทำสนธิสัญญากับต่างชาติเป็นเวลาหลายศตวรรษ
อันเนื่องมาจากอาณาจักรสยามนี้ประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์ อาทิ ไท ลาว มอญ ญวน เขมร แขก จีน ฝรั่ง และมลายู พระมหากษัตริย์ไทยจึงเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า ประเทศสยาม เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน
อีกทั้ง ชื่อ สยาม นั้น ก็ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในวงการวิชาการของต่างประเทศอีกด้วย
(วิกิพีเดีย)
ทำไม พ.ศ.2483 จึงมีแค่ 9 เดือน
สมัยก่อน ตั้งแต่ พ.ศ. 2432 สยามประเทศถือเอาวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่เรื่อยมา จนกระทั่งรัฐบาลไทยสมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีได้ประกาศเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ให้เป็นวันที่ 1 มกราคม เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติสากลของนานาอารยประเทศ
การเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ จาก 1 เมษายน มาเป็น 1 มกราคม ตั้งแต่ พ.ศ. 2484 ทำให้ พ.ศ. 2483 มีเพียง 9 เดือน คือ เมษายน ถึง ธันวาคม โดยขาดหายไป 3 เดือน คือ เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม ดังนั้น ถ้าไปพบใครที่มี
วันเกิดระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคม พ.ศ. 2483 เราก็คิดไปได้ว่า ข้อมูลวันเดือนปีเกิดของบุคคลนั้นต้องมีอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อนเป็นแน่แท้
(คัดจากเอกสาร ประชากรและการพัฒนา)
การเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ จาก 1 เมษายน มาเป็น 1 มกราคม ตั้งแต่ พ.ศ. 2484 ทำให้ พ.ศ. 2483 มีเพียง 9 เดือน คือ เมษายน ถึง ธันวาคม โดยขาดหายไป 3 เดือน คือ เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม ดังนั้น ถ้าไปพบใครที่มี
วันเกิดระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคม พ.ศ. 2483 เราก็คิดไปได้ว่า ข้อมูลวันเดือนปีเกิดของบุคคลนั้นต้องมีอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อนเป็นแน่แท้
(คัดจากเอกสาร ประชากรและการพัฒนา)
วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554
ประวัติคัมภีร์ทานตะวัน
แต่งโดย ขันทีผู้หนึ่ง ในวังหลวง
ไม่ทราบความเป็นมา
ไม่ทราบชื่อแซ่
สามร้อยปีต่อมา วิทยายุทธในคัมภีร์ ไม่มีผู้ใดฝึกสำเร็จ
หนึ่งร้อยปีก่อน คัมภีร์เล่มนี้ตกเป็นของ วัดล่างเสี้ยวลิ้มยี่ ที่เมือง โพวชั้ง มณฑลฮกเกี้ยน
เจ้าอาวาสตอนนั้นชื่อ มหาสมณะใบไม้แดง (อั๊งเฮียะเซี่ยซือ) มีสติปัญญาล้ำเลิศ
พยายามฝึก แต่ก็ฝึกไม่สำเร็จ
วิทยายุทธนี้ ว่ากันว่าลึกล้ำสุดยอด
แต่ก็ไม่ทราบว่าสุดยอดอย่างไร
สำนักฮั้วซัว มีซือเฮียตี๋ สองคน ชื่อฉั่วจื้อฮง และงักเซียว
ไปเป็นแขกที่วัดล่างเสี้ยวลิ้มยี่
ไม่ทราบทำอย่างไรได้เห็นคัมภีร์นี้
อาจจะโขมยดูหรือเปล่าไม่ทราบ
ยามฉุกละหุกก็แบ่งกันท่องคัมภีร์นี้ คนละครึ่งท่อน
พอกลับมาสำนัก ก็มาต่อกัน แต่ต่อกันไม่ติด ทะเลาะบาดหมางกัน
สำนักฮั้วซัวจึงแบ่งออกเป็น
1.ฝ่ายกระบี่ มีฉั่วจื้อฮง เป็นหัวหน้า
2.ฝ่ายลมปราณ มีงักเซียว เป็นหัวหน้า
ต่อมา มหาสมณะใบไม้แดง (อั๊งเฮียะเซี่ยซือ) ทราบว่า คัมภีร์ถูกลอบดูจึงส่ง
โต่วง้วนเซี่ยงซือ มาฮั้วซัว สั่งว่า
ห้ามไม่ให้ฝึก วิทยายุทธตามคัมภีร์นี้ เพราะ
ลึกล้ำมาก ด่านแรกก็ยาก ฝึกผิดก็จะตายหรือพิการไป
พอไปถึง สำนักฮั้วซัว ก็ไปพบ ฉั่วจื้อฮง และงักเซียว
ถามเรื่องนี้ ทั้งฉั่วจื้อฮง และงักเซียว ก็รับสารภาพว่าโขมยดูจริง
และฝึกอยู่แต่ยังไม่สำเร็จ คิดว่า โต่วง้วนเซี่ยงซือ รู้เรื่อง
จึงถาม และท่องให้ฟัง
โต่วง้วนเซี่ยงซือ ก็ทำเป็นรู้เรื่องอธิบายให้ฟัง
ขณะเดียวกันก็แอบจดจำข้อความในคัมภีร์ไว้ได้ทั้งหมด
หลังจากพักที่ฮั้วซัว นาน 7-8 วัน
ก็ลากลับวัด แต่ไม่กลับวัด สึกเอง
จดหมายไปหาเจ้าอาวาสว่า สึก ไม่มีหน้ากลับไปวัดอีก
เรื่องนี้ทำให้ วัดล่างเสี้ยวลิ้มยี่ ผิดใจกับสำนักฮั้วซัว
ข่าวการที่ สำนักฮั้วซัวมีคัมภีร์ทานตะวัน เกิดล่วงรู้ไปถึง พรรคทานตะวัน
10 ผู้อวุโส พรรคทานตะวัน บุกมาชิงคัมภีร์ทานตะวัน
ฆ่า ฉั่วจื้อฮง และงักเซียว ตาย ชิงคัมภีร์ไปได้
10 ผู้อาวุโส บาดเจ็บกลับไป
อีก 5 ปีต่อมา พรรคทานตะวันบุก มาที่ฮั้วซัวใหม่
สามารถมีวิทยายุทธทำลายเพลงกระบี่ของ 5 สำนักได้
ฆ่า ผู้อาวุโส 5 สำนักกระบี่ตายมากมาย
แต่ 10ผู้อาวุโสพรรคทานตะวันก็ตายหมด
สยดสยองมาก
โต่วง้วนเซี่ยงซือ เมื่อเป็นฆารวาส ชื่อ ลิ้มเอี่ยงโต้ว
ก่อตั้งสำนักคุ้มกันภัยบุญบารมี
อาศัยกระบวนท่า 72 ท่ากระบี่พิชิตมาร
สยบหมู่มิจฉาชีพ มีชื่อเสียงไปทั่ว
ข้อความในคัมภีร์ จดไว้ที่จีวร สั่งเสียลูกหลานไม่ให้ฝึก
พอเรื่องนี้ทราบไปถึง
มหาสมณะใบไม้แดง (อั๊งเฮียะเซี่ยซือ)
จึงทราบว่า เป็นวิทยายุทธจากคัมภีร์ทานตะวัน
จึงสั่งให้นำคัมภีร์มาเผาทิ้ง
แล้วแจ้งให้ เจ้าอาวาสเสี้ยวลิ้มบนทราบ
ไม่ทราบความเป็นมา
ไม่ทราบชื่อแซ่
สามร้อยปีต่อมา วิทยายุทธในคัมภีร์ ไม่มีผู้ใดฝึกสำเร็จ
หนึ่งร้อยปีก่อน คัมภีร์เล่มนี้ตกเป็นของ วัดล่างเสี้ยวลิ้มยี่ ที่เมือง โพวชั้ง มณฑลฮกเกี้ยน
เจ้าอาวาสตอนนั้นชื่อ มหาสมณะใบไม้แดง (อั๊งเฮียะเซี่ยซือ) มีสติปัญญาล้ำเลิศ
พยายามฝึก แต่ก็ฝึกไม่สำเร็จ
วิทยายุทธนี้ ว่ากันว่าลึกล้ำสุดยอด
แต่ก็ไม่ทราบว่าสุดยอดอย่างไร
สำนักฮั้วซัว มีซือเฮียตี๋ สองคน ชื่อฉั่วจื้อฮง และงักเซียว
ไปเป็นแขกที่วัดล่างเสี้ยวลิ้มยี่
ไม่ทราบทำอย่างไรได้เห็นคัมภีร์นี้
อาจจะโขมยดูหรือเปล่าไม่ทราบ
ยามฉุกละหุกก็แบ่งกันท่องคัมภีร์นี้ คนละครึ่งท่อน
พอกลับมาสำนัก ก็มาต่อกัน แต่ต่อกันไม่ติด ทะเลาะบาดหมางกัน
สำนักฮั้วซัวจึงแบ่งออกเป็น
1.ฝ่ายกระบี่ มีฉั่วจื้อฮง เป็นหัวหน้า
2.ฝ่ายลมปราณ มีงักเซียว เป็นหัวหน้า
ต่อมา มหาสมณะใบไม้แดง (อั๊งเฮียะเซี่ยซือ) ทราบว่า คัมภีร์ถูกลอบดูจึงส่ง
โต่วง้วนเซี่ยงซือ มาฮั้วซัว สั่งว่า
ห้ามไม่ให้ฝึก วิทยายุทธตามคัมภีร์นี้ เพราะ
ลึกล้ำมาก ด่านแรกก็ยาก ฝึกผิดก็จะตายหรือพิการไป
พอไปถึง สำนักฮั้วซัว ก็ไปพบ ฉั่วจื้อฮง และงักเซียว
ถามเรื่องนี้ ทั้งฉั่วจื้อฮง และงักเซียว ก็รับสารภาพว่าโขมยดูจริง
และฝึกอยู่แต่ยังไม่สำเร็จ คิดว่า โต่วง้วนเซี่ยงซือ รู้เรื่อง
จึงถาม และท่องให้ฟัง
โต่วง้วนเซี่ยงซือ ก็ทำเป็นรู้เรื่องอธิบายให้ฟัง
ขณะเดียวกันก็แอบจดจำข้อความในคัมภีร์ไว้ได้ทั้งหมด
หลังจากพักที่ฮั้วซัว นาน 7-8 วัน
ก็ลากลับวัด แต่ไม่กลับวัด สึกเอง
จดหมายไปหาเจ้าอาวาสว่า สึก ไม่มีหน้ากลับไปวัดอีก
เรื่องนี้ทำให้ วัดล่างเสี้ยวลิ้มยี่ ผิดใจกับสำนักฮั้วซัว
ข่าวการที่ สำนักฮั้วซัวมีคัมภีร์ทานตะวัน เกิดล่วงรู้ไปถึง พรรคทานตะวัน
10 ผู้อวุโส พรรคทานตะวัน บุกมาชิงคัมภีร์ทานตะวัน
ฆ่า ฉั่วจื้อฮง และงักเซียว ตาย ชิงคัมภีร์ไปได้
10 ผู้อาวุโส บาดเจ็บกลับไป
อีก 5 ปีต่อมา พรรคทานตะวันบุก มาที่ฮั้วซัวใหม่
สามารถมีวิทยายุทธทำลายเพลงกระบี่ของ 5 สำนักได้
ฆ่า ผู้อาวุโส 5 สำนักกระบี่ตายมากมาย
แต่ 10ผู้อาวุโสพรรคทานตะวันก็ตายหมด
สยดสยองมาก
โต่วง้วนเซี่ยงซือ เมื่อเป็นฆารวาส ชื่อ ลิ้มเอี่ยงโต้ว
ก่อตั้งสำนักคุ้มกันภัยบุญบารมี
อาศัยกระบวนท่า 72 ท่ากระบี่พิชิตมาร
สยบหมู่มิจฉาชีพ มีชื่อเสียงไปทั่ว
ข้อความในคัมภีร์ จดไว้ที่จีวร สั่งเสียลูกหลานไม่ให้ฝึก
พอเรื่องนี้ทราบไปถึง
มหาสมณะใบไม้แดง (อั๊งเฮียะเซี่ยซือ)
จึงทราบว่า เป็นวิทยายุทธจากคัมภีร์ทานตะวัน
จึงสั่งให้นำคัมภีร์มาเผาทิ้ง
แล้วแจ้งให้ เจ้าอาวาสเสี้ยวลิ้มบนทราบ
วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
นโยบาย รมต.สาธารณสุข จุรินทร์ลักษณวิศิษฏิ

เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2553
รมต.สาธารณสุข นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏิ
ได้ให้นโยบาย
1.เน้นการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเป็นหลัก
2.เร่งรัดการพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาล และคุณภาพการบริการในทุกระดับ
3.สร้างความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพการควบคุมโรค
4.คุ้มครองผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างจริงจัง
5.สนับสนุนสมุนไพรไทยให้มีบทบาทในการบริการและมีความก้าวหน้ามากขึ้น
6.สับสนุนการผลิตและพัฒนาบุคคลากรให้เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน รวมทั้งในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
7.สนับสนุน อสม.มีบทบาทเชิงรุกมากขึ้น
8.พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศให้มีความทันสมัย และเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานเพื่อประชาชนมากขึ้น
9.ผลักดันโครงการ Medical Hub ให้รุดหน้ามากยิ่งขึ้น
10.ผลักดันและพัฒนากฎหมายให้เอื้อประโยชน์ต่อการสนับสนุนการดำเนินงานโดยเฉพาะกฎหมายใหม่ เช่น พรบ.วิชาชีพการสาธารณสุข
พรบ.กองทุนคุ้มครองผู้เสียหายจากการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ดดยให้ความสำคัญทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ
โดยยึดหลัก 3 ประการคือ
1.โปร่งใส
2.ความสามัคคี
3.การมีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกันทุกฝ่ายในสังคมสาธารณสุข
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
เป็นปีที่ 54 ในรัชกาลปัจจุบัน
-----------------------------------------------------------------------------------มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา นุเบกษาเป็นต้นไป[รก.2542/120ก/70/29 พฤศจิกายน 2542]
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้ "การเสนอราคา" หมายความว่า การยื่นข้อเสนอเพื่อเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญา กับหน่วยงานของรัฐอันเกี่ยวกับการซื้อ การจ้าง การแลกเปลี่ยน การเช่า การจำหน่ายทรัพย์สิน การได้รับสัมปทานหรือการได้รับสิทธิใด ๆ "หน่วยงานของรัฐ" หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือหน่วยงานอื่นใดที่ดำเนินกิจการ ของรัฐตามกฎหมายและได้รับเงินอุดหนุนหรือเงินหรือทรัพย์สินลงทุนจากรัฐ "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" หมายความว่า (1) นายกรัฐมนตรี (2) รัฐมนตรี (3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (4) สมาชิกวุฒิสภา (5) ข้าราชการการเมืองอื่นนอกจาก (1) และ (2) ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ ข้าราชการการเมือง (6) ข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่าย รัฐสภา (7) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น "คณะกรรมการ ป.ป.ช." หมายความว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ
มาตรา 4 ผู้ใดตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์ แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็น ธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการ เอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่าง ผู้ร่วมกระทำความผิดนั้น หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่ จำนวนใดจะสูงกว่า ผู้ใดเป็นธุระในการชักชวนให้ผู้อื่นร่วมตกลงกันในการกระทำความผิดตามที่ บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ผู้นั้นต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่ง
มาตรา 5 ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด แก่ผู้อื่นเพื่อประโยชน์ในการเสนอราคา โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะจูงใจให้ผู้นั้นร่วมดำเนินการใด ๆ อันเป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ หรือเพื่อจูงใจให้ ผู้นั้นทำการเสนอราคาสูงหรือต่ำจนเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นไปตามลักษณะสินค้า บริการ หรือสิทธิที่จะ ได้รับ หรือเพื่อจูงใจให้ผู้นั้นไม่เข้าร่วมในการเสนอราคาหรือถอนการเสนอราคา ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปีและปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่าง ผู้ร่วมกระทำความผิดนั้นหรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใด จะสูงกว่า ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อกระทำ การตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย
มาตรา 6 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้จำยอมร่วมดำเนินการใด ๆ ในการเสนอราคา หรือไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา หรือถอนการเสนอราคา หรือต้องทำการเสนอราคาตามที่กำหนด โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ ให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคา สูงสุดในระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดนั้น หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงาน ของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
มาตรา 7 ผู้ใดใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำการโดยวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่น ไม่มีโอกาสเข้าทำการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมหรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดระหว่าง ผู้ร่วมกระทำความผิดนั้นหรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใด จะสูงกว่า
มาตรา 8 ผู้ใดโดยทุจริตทำการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐโดยรู้ว่าราคาที่ เสนอนั้นต่ำมากเกินกว่าปกติจนเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นไปตามลักษณะสินค้าหรือบริการ หรือเสนอ ผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐสูงกว่าความเป็นจริงตามสิทธิที่จะได้รับ โดยมี วัตถุประสงค์เป็นการกีดกันการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมและการกระทำเช่นว่านั้น เป็นเหตุให้ ไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี และปรับ ร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคา หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงาน ของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ตามวรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ หน่วยงานของรัฐต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการดำเนินการให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ของ สัญญาดังกล่าว ผู้กระทำผิดต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐนั้นด้วย ในการพิจารณาคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ถ้ามีการ ร้องขอ ให้ศาลพิจารณากำหนดค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องรับภาระเพิ่มขึ้นให้แก่หน่วยงานของรัฐตาม วรรคสองด้วย
มาตรา 9 ในกรณีที่การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ ของนิติบุคคลใด ให้ถือว่าหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการ ดำเนินงานในกิจการของนิติบุคคลนั้น หรือผู้ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลในเรื่องนั้น เป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนรู้เห็นในการ กระทำความผิดนั้น
มาตรา 10 เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใดซึ่งมีอำนาจหรือหน้าที่ในการอนุมัติ การพิจารณาหรือการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคาครั้งใด รู้หรือมีพฤติการณ์แจ้งชัด ว่าควรรู้ว่าการเสนอราคาในครั้งนั้นมีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ละเว้นไม่ดำเนินการ เพื่อให้มีการยกเลิกการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอราคาในครั้งนั้น มีความผิดฐานกระทำความผิด ต่อตำแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึง สองแสนบาท
มาตรา 11 เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใด หรือผู้ได้รับมอบหมายจาก หน่วยงานของรัฐผู้ใด โดยทุจริตทำการออกแบบ กำหนดราคา กำหนดเงื่อนไข หรือกำหนด ผลประโยชน์ตอบแทน อันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคาโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันใน การเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หรือเพื่อช่วยเหลือให้ผู้เสนอราคารายใดได้มีสิทธิเข้าทำสัญญา กับหน่วยงานของรัฐโดยไม่เป็นธรรม หรือเพื่อกีดกันผู้เสนอราคารายใดมิให้มีโอกาสเข้าแข่งขัน ในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
มาตรา 12 เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ นี้ หรือกระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้า ทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ มีความผิดฐานกระทำผิด ต่อตำแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
มาตรา 13 ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือกรรมการหรืออนุกรรมการใน หน่วยงานของรัฐ ซึ่งมิใช่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใด กระทำความผิดตามพระราช บัญญัตินี้ หรือกระทำการใด ๆ ต่อเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐซึ่งมีอำนาจหรือหน้าที่ในการ อนุมัติการพิจารณา หรือการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคาเพื่อจูงใจหรือทำให้ จำยอมต้องยอมรับการเสนอราคาที่มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าผู้นั้น กระทำความผิดฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี หรือ จำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท
มาตรา 14 ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ การกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ ในกรณีที่มีพฤติการณ์ปรากฏแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือมีการกล่าวหา ร้องเรียนว่าการดำเนินการซื้อ การจ้าง การแลกเปลี่ยน การเช่า การจำหน่ายทรัพย์สิน การได้รับ สัมปทานหรือการได้รับสิทธิใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐครั้งใดมีการกระทำอันเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัตินี้ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยเร็ว และถ้าเห็นว่ามีมูล ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้ (1) ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการกับผู้นั้นตามกฎหมายประกอบรัฐธรรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต (2) ในกรณีที่เป็นบุคคลอื่นนอกจากบุคคลตาม (1) ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการกล่าวโทษบุคคลนั้นต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป ในการดำเนินการของ พนักงานสอบสวนให้ถือรายงานการสอบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นหลัก (3) ในกรณีที่การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการกระทำของ เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตาม (1) และบุคคลอื่นที่ลักษณะคดีมีความ เกี่ยวเนื่องเป็นความผิดเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นสมควรดำเนินการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในคราวเดียวกัน ให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจดำเนินการสอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด และ เมื่อดำเนินการเสร็จให้ส่งรายงานเอกสารและความเห็นไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการ ให้มีการฟ้องคดีในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีสำหรับผู้ที่กระทำความผิดนั้น โดยให้ ถือว่ารายงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นสำนวนการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา แต่ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าการกระทำความผิดดังกล่าวสมควรให้ดำเนินการ สอบสวนโดยพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งผลการสอบสวนข้อเท็จจริงไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อเป็นผู้ดำเนินคดีต่อไป การดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่เป็นการตัดสิทธิผู้เสียหายหรือ หน่วยงานของรัฐที่เสียหายจากการกระทำความผิดในการเสนอราคา ในการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 15 ในการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาแก่ผู้กระทำความผิดตามพระราช บัญญัตินี้ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจดังต่อไปนี้ (1) แสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือ พิสูจน์ความผิดและเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ (2) มีคำสั่งให้ข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติการ ทั้งหลายอันจำเป็นแก่การรวบรวมพยานหลักฐานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือเรียกเอกสารหรือ หลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำเพื่อประโยชน์ในการสอบสวน (3) ดำเนินการขอให้ศาลที่มีเขตอำนาจออกหมายเพื่อเข้าไปในเคหสถาน สถานที่ ทำการ หรือสถานที่อื่นใด รวมทั้งยานพาหนะของบุคคลใด ๆ ในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก หรือในระหว่างเวลาที่มีการประกอบกิจการเพื่อตรวจสอบ ค้น ยึด หรืออายัด เอกสาร ทรัพย์สิน หรือพยานหลักฐานอื่นใดซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ไต่สวนข้อเท็จจริง และหาก ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จในเวลาดังกล่าวให้สามารถดำเนินการต่อไปได้จนกว่าจะแล้วเสร็จ (4) ดำเนินการขอให้ศาลที่มีเขตอำนาจออกหมายเพื่อให้มีการจับและควบคุม ตัวผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นผู้ซึ่ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติว่าข้อกล่าวหามีมูล เพื่อส่งตัวไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อ ดำเนินการต่อไป (5) ขอให้เจ้าพนักงานตำรวจหรือพนักงานสอบสวนดำเนินการตามหมายของศาล ที่ออกตาม (3) หรือ (4) (6) กำหนดระเบียบโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการสืบสวนและ สอบสวนการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และการประสานงานในการดำเนินคดีระหว่าง คณะกรรมการ ป.ป.ช. พนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ประธานกรรมการและกรรมการ ป.ป.ช. เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงาน สอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเพื่อประโยชน์ในการสอบสวนให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจแต่งตั้งอนุกรรมการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามอำนาจ หน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ให้อนุกรรมการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งรายงานการสอบสวนให้สำนักงานอัยการสูงสุด ดำเนินคดีต่อไป การดำเนินการเกี่ยวกับการสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้ถือว่าบทบัญญัติที่กำหนดเป็นอำนาจหน้าที่ของ พนักงานสอบสวน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นอำนาจหน้าที่ของ คณะกรรมการ ป.ป.ช.
มาตรา 16 ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ :: ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี
*หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ในการจัดหาสินค้าและ บริการไม่ว่าด้วยวิธีการจัดซื้อหรือการจัดจ้างหรือวิธีอื่นใดของหน่วยงานของรัฐทุกแห่งนั้นเป็นการ ดำเนินการโดยใช้เงินงบประมาณเงินกู้เงินช่วยเหลือ หรือรายได้ของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นเงิน ของแผ่นดิน รวมทั้งการที่รัฐให้สิทธิในการดำเนินกิจการบางอย่างโดยการให้สัมปทานอนุญาตหรือ กรณีอื่นใดในลักษณะเดียวกันก็เป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะอันเป็นกิจการของรัฐ ฉะนั้น การจัดหาสินค้าและบริการรวมทั้งการให้สิทธิดังกล่าว จึงต้องกระทำอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และมีการแข่งขันกันอย่างเสรีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่รัฐ แต่เนื่องจากการดำเนินการ ที่ผ่านมามีการกระทำในลักษณะการสมยอมในการเสนอราคาและมีพฤติการณ์ต่าง ๆ อันทำให้มิได้ มีการแข่งขันกันเสนอประโยชน์สูงสุดให้แก่หน่วยงานของรัฐอย่างแท้จริงและเกิดความเสียหายต่อ ประเทศชาติ นอกจากนั้น ในบางกรณีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มีส่วนร่วม หรือมีส่วนสนับสนุนในการทำความผิด หรือละเว้นไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อันมีผลทำให้ ้ปัญหาในเรื่องนี้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จึงสมควรกำหนดให้การกระทำดังกล่าวเป็นความผิด เพื่อเป็นการปราบปรามการกระทำในลักษณะดังกล่าว รวมทั้งกำหนดลักษณะความผิดและกลไก ในการดำเนินการเอาผิดกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้การปราบปราม ดังกล่าวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)