วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

มาตุคาม







มาตุคาม


พระที่มีชื่อเสียงหลายท่าน ได้ตกเป็นข่าวอื้อฉาว กับสีกา สุดท้ายท่านก็ต้องละพรหมจรรย์ ลาสิกขาบทในที่สุด เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก โดยข้อเท็จจริง ถ้ารวมพระที่ไม่มีชื่อเสียง ที่ต้องลาสิกขาบทไป เพราะสาเหตุกับสีกา แต่ไม่เป็นข่าว ก็มีเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย ในแวดวงผู้ปฏิบัติธรรม ถือว่าการเลิก ลด ละกิเลส เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องยาก ที่ปุถุชนทั่วไปจะทำได้ บางคนทำได้ แต่บางเวลา บางเวลาเผลอไป ทำผิด ทำบาป ชั่วไปแค่ขณะจิตเดียว ทั้งที่ก่อนนี้เฝ้าเพียรประคับประคองจิตมาได้หลายสิบปี ท่านว่าเหมือนการพายเรือทวนกระแสน้ำ พอมาเจอสีกา (คู่กรรม) เกิดปิ๊งขึ้นมา เผลอสติพลาดไป ล่วงอาบัติปาราชิกเสียแล้ว หลวงปู่ชา ท่านบอกว่า จิตเราอยู่ใกล้นรก ใกล้นิพพาน แวบเดียวก็ตกนรก พระที่ปฏิบัติเพียรพยายามมานาน เมื่ออินทรีย์แก่กล้าสุกงอมเต็มที่ แวบเดียวก็นิพพานได้
พระพุทธเจ้า ประณามพระภิกษุที่เสพเมถุนเป็นโมฆะบุรุษ บัญญัติพระวินัย เป็นอาบัติขั้นรุนแรงที่สุดคือปาราชิก คือขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที ตอนศาสนาพุทธไปถึงที่ญี่ปุ่นใหม่ๆ พระก็มีเมียไม่ได้ จนผ่านมาถึงสมัยศตวรรษที่ 12 พระที่เป็นปรมาจารย์เจ้านิกายโยโดชินชู(สุขาวดี) ชื่อท่านชินรันโชนิน(Shinran,พ.ศ.1716-1805) ท่านก็มีเมียทั้งๆที่ใส่จีวรอยู่ แรกๆไม่มีใครยอมรับ เกิดปฏิกิริยาทั่วไป ต่อมาก็เงียบหายไป จนถึงสมัย Meiji ตรงกับเราสมัยรัชกาลที่ 5มีการปฏิรูปการเมือง การปกครอง พระก็ปฏิรูปบ้างโดย พระมีเมียกันทั่วไป ใครๆ ก็รู้ ไม่มีใครกล้าว่า กลายเป็นวัฒนธรรมที่คนญี่ปุ่นยอมรับจนทุกวันนี้
พระภิกษุนิกายเซ็นที่ประเทศญี่ปุ่น ยอมศิโรราบต่อกามคุณ ไม่ต้องมาฝึกจิตใจให้ ลด ละเลิกความอยากในกามรส ยอมรับกันว่าพระมีเมียได้มานานหลายร้อยปี ในวัดก็จะมีกุฏิเจ้าอาวาส อยู่บริเวณที่เป็นสัดส่วน ห้ามใครมายุ่ง ท่านนอนกับเมีย มีลูกมีหลานสืบสกุลมาหลายชั่วคน ถึงเวลาสวดมนต์ เทศน์ให้ญาติโยมฟัง นั่งสมาธิ วิปัสสนา ก็ทำกิจของสงฆ์ไป ตกเย็นก็กลับมานอนกับภรรยาที่กุฏิ (คงต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างแหละ ตามธรรมดาของผัวเมีย) ลูกชายคนโต ก็มักจะบวชตามพ่อ แรกๆก็จาริกไปศึกษาตามวัดต่างๆ พอบารมีแก่กล้าก็มาอยู่วัดที่พ่อเป็นเจ้าอาวาสอยู่ แล้วก็เป็นรองเจ้าอาวาส พอพ่อตายก็เป็นเจ้าอาวาสต่อ เป็นเช่นนี้มานาน ชาวบ้านก็ไม่ว่าอะไร มาทำบุญตามปกติ
ถ้าเป็นเมืองไทย เป็นเรื่องใหญ่ ต้องแจ้งความ เรียกตำรวจ และชาวบ้านมาปิดล้อมกุฏิ ตอนบุกเข้าไป ก็ต้องเอากล้องมาถ่ายรูปเป็นหลักฐาน ไว้ฟ้องเจ้าคณะตำบล ถ่ายรูปคนหัวโล้นแก้ผ้า กำลังนอนกับผู้หญิงเปลือย ลงหนังสือพิมพ์หน้า 1 แล้วก็ไปสัมภาษณ์เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ ว่าสึกหรือยัง ยอมสึกหรือไม่ หนังสือพิมพ์ก็ขายดี มีคนแก้ผ้าลงปกหน้า 1 ไม่ต้องเสียเงินค่านายแบบ นางแบบ ข่าวแบบนี้ดูจนเบื่อ แต่พอมีอีก คนก็ยังชอบดู ข่าวก็ยังขายได้
ท่านอาจารย์เสถียร โพธินันทะถือว่าพระญี่ปุ่นไม่ใช่พระภิกษุในความหมายที่ชาวพุทธในประเทศไทยเข้าใจกัน แต่เป็นแค่เพียงอุบาสกเท่านั้น ความเป็นจริงไม่มีพระภิกษุในญี่ปุ่นมานานหลายร้อยปีแล้ว (ตั้งแต่ที่มีเมียกันนั่นแหละ คือปาราชิกกันหมดแล้ว) จะแต่งตัวโกนหัวกันอย่างไรก็ไม่ใช่พระ ก็มีฐานะเป็นแค่อุบาสกที่ศรัทธาในพระศาสนา ปฏิบัติกิจในเรื่องบางอย่างที่เป็นของสงฆ์ เช่นศึกษา เผยแพร่ธรรมะให้กับประชาชน ก็ถือว่าเป็นการสืบอายุพระศาสนาทางหนึ่ง ยังดีกว่าในประเทศอินเดีย เมืองต้นกำเนิดของศาสนาพุทธ ที่แทบไม่มีใครกล่าวถึงคำสอนของศาสนาพุทธกันแล้ว บางท่านว่า “พระ” ญี่ปุ่นยังศึกษาธรรม มากกว่าพระไทยจำนวนไม่ใช่น้อย และการที่ “พระ”ญี่ปุ่นเป็นแค่อุบาสก ก็ไม่ใช่ห้ามมรรคผล แม้แต่นางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านบรรลุธรรมขั้นโสดาบันตั้งแต่อายุได้เพียง 7 ขวบ ตามประวัติ ท่านก็แต่งงานมีลูกหลานมากมาย ลูกหลานตายก็เสียใจ ร้องห่มร้องไห้เช่นคนทั่วไป
พระไทยที่เสพกามท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์หลังถูกจับสึกแล้วว่า ท่านไม่ผิดหรอกเพราะ ก่อนร่วมเพศ อาตมาขออธิษฐานสึกเป็นฆารวาสแล้ว เสร็จกิจแล้วก็อธิษฐานบวชใหม่ โดยสรุปอาตมาก็ไม่ผิดเพราะขณะเป็นพระก็ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ มีเฉพาะตอนเป็นเพศฆารวาส อาจเรียกพระกลุ่มนี้ได้ว่าเป็นพระเวลากลางวัน กลางคืนเป็นฆารวาส เช้าบวชเย็นสึกทุกวัน
การมีเพศสัมพันธ์ถือเป็นกิจกรรมตามธรรมชาติของสัตว์โลกทั้งหลายรวมทั้งคนด้วย เช่นเดียวกับ การกิน การถ่ายอุจจาระปัสสาวะ การนอนหลับ ธรรมชาติกำหนดให้มีเพื่อสืบพันธ์ เกิดการผสมกันของ DNA ของสัตว์ เกิดลูกหลานที่แข็งแรงขึ้น ตัวที่อ่อนแอ จะสืบพันธ์ยาก และสูญพันธ์ในที่สุด ตัวที่แข็งแรงก็จะสืบพันธ์ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับการสืบพันธ์คือ ความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ หรือ อาจเรียกว่ารสชาติในการสืบพันธ์ หรือกามรส กามรสนี้ ท่านอาจารย์พุทธทาสสอนว่า เป็นรางวัลที่ธรรมชาติให้กับสัตว์โลกเพื่อให้มันสืบพันธ์ ไม่เช่นนั้นสัตว์โลกจะไม่ยอมสืบพันธ์กัน ระยะหลังเทคโนโลยี่การเจริญพันธ์ก้าวหน้า มีการคุมกำเนิดหลายวิธี คนเราส่วนใหญ่ก็เสพกามรสกันได้อย่างเต็มที่ โดยไม่เกี่ยวกับการสืบพันธ์แต่อย่างไร เกิดมีธุรกิจค้ากาม ทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ เป็นมูลค่านับแสนๆล้านบาทต่อปี เกิดการเอาเปรียบทางเพศ ค้าผู้หญิง ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจนอกกฎหมาย เป็นธุรกิจเก่าแก่มีมานมนานหลายพันปี เกิดการระบาดของกามโรคและโรคเอดส์
เมื่อมนุษย์เสพกามแล้ว ก็ติดใจ เกิดการพัฒนาเป็นกามศาสตร์ เกิดศิลปกรรม รูปปั้น ภาพวาด ภาพแกะสลัก ภาพถ่าย ที่สะท้อนถ่ายทอดความรู้สึกของเขาเหล่านั้น การเสพกามสามารถมีท่าทางพลิกเพลงได้ร้อยแปดประการ เสพได้ทุกเวลา ทุกฤดูกาล ทุกสถานที่ ว่ากันว่า ยานอวกาศที่โคจรนอกโลก มนุษย์อวกาศ ก็ขึ้นไปทดลองเสพกามกันมาแล้วถือเป็นงานวิจัยอันหนึ่ง การไปฮันนี่มูนบนยานอวกาศคงได้ดูข่าวกันในอีกไม่นาน
จากประวัติพระเกจิอาจารย์ที่ปฏิบัติธรรม จนประสบความสำเร็จในการละกิเลสโดยสิ้นเชิง หลายท่าน จนเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไปและท่านก็ได้มรณภาพแล้ว ได้บรรยายเล่าประสบการณ์การเอาชนะกิเลสให้ลูกศิษย์ฟัง ในการต่อสู้กับกิเลสกาม ว่าเป็นเรื่องที่ดุเดือด แหลมคม อันตรายมาก บางท่านผ่านด่านนี้มาได้อย่างหวุดหวิด เรียกว่า เกือบ “เสร็จ” มาตุคาม (หมายถึงเพศหญิง ทางกลับกันถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมหญิง มาตุคามก็เปลี่ยนเป็นบุรุษ ผู้หญิงก็ฝ่าด่านบุรุษยากไม่แพ้กัน) ไปแล้ว
บางตัวอย่างที่เล่ากันมาได้แก่
“เดินจงกรมอยู่ อวัยวะเพศแกว่ง ไปเสียดสีกับจีวร ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวชี้ชัน ยิ่งเดินยิ่งเสียดสี ยิ่งแข็ง ต้องยกจีวรขึ้นไว้ที่เอว ไม่ให้เสียดสี จากนั้นจึงค่อยๆหดตัวลง”
“ระหว่างนั่งสมาธิ ก็เห็นนิมิตเป็นรูปอวัยวะเพศหญิง วนเวียนรอบๆตัว
“ระหว่างบิณฑบาต สีกาที่ตักข้าวใส่บาตรพระเรียบร้อยแล้ว กลับเปิดผ้าถุงให้พระดูอวัยวะเพศ ท่านต้องรีบ ธุดงค์หนีไปที่อื่นทันที”
“สีกา มาถวายอาหารที่กุฎิทุกวัน เล่นหู เล่นตากับพระ”
“ก่อนบวชเคยไปงานศพเพื่อนคนหนึ่ง ปรากฏว่าตกกลางคืน ภรรยาเพื่อนที่พึ่งเป็นหม้ายแก้ผ้าเข้ามานอนข้างๆ “
เป็นพระไทย ถ้าพลาดในเรื่องนี้ ก็ต้องประสบกับหายนะ(Disaster) ตามข่าวที่เกิด บางคนไม่เข้าใจ หาว่าพระตั้งกฎเกณฑ์รังเกียจสตรีเพศ เช่นตรงนี้ ผู้ชายขึ้นมาได้ ผู้หญิงห้ามขึ้น เป็นการกดขี่ทางเพศ เอาเปรียบผู้หญิง ที่จริงแล้ว พระมีกฎเกณฑ์เพื่อปกป้องพรหมจรรย์ของพระที่ยังละกิเลสไม่ได้ แม้กระนั้น ขนาดนี้ พระก็ยัง “ถูกสิงโตกิน” ไปเสียมิใช่น้อยเลย
พระพุทธองค์ทราบดีถึงอันตรายของมาตุคาม ท่านตรัสเตือนสติ ภิกษุสาวกเกี่ยวกับการคลุกคลีในสกุลเกินควร ว่ามีโทษถึง 5 ขั้นตอน กล่าวคือ
ทำให้ต้องเห็นมาตุคามเนืองๆ๑
เมื่อมีการเห็น ย่อมมีการเกี่ยวข้อง๑
เมื่อมีการเกี่ยวข้อง ย่อมมีการคุ้นเคย๑
เมื่อมีการคุ้นเคย ย่อมมีจิตจดจ่อ๑
เมื่อมีจิตจดจ่อแล้ว พึงหวังผลคือเธอไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ จักต้องอาบัติเศร้าหมอง หรือจักบอกคืนสิกขาลาเพศ๑
พระอานนท์ ถามพระพุทธเจ้าถึงข้อปฏิบัติในมาตุคาม พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า
“การไม่เห็น อานนท์”
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อการเห็นมีอยู่ จะพึงปฏิบัติอย่างไร
“การไม่เจรจา…อานนท์”
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อต้องเจรจา จะพึงปฏิบัติอย่างไร
“พึงตั้งสติไว้…อานนท์” (ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม 10)
ในปัจจุบันกลุ่มคนที่เข้าวัดอุปัฏฐากพระ พบว่ากว่า 80 % เป็นผู้หญิงทั้งนั้น ทำอาหารถวาย จัดทำของเครื่องใช้ที่จำเป็นแก่พระ แม้แต่การทำบุญด้วยเงิน ผู้หญิงก็มีจำนวนมากกว่าชายมาก การเห็นกันทุกวัน การใกล้ชิดช่วยเหลือรับใช้กัน เป็นปัจจัยที่มีพลังมาก การเห็นหมอผู้ชาย แต่งงานกับพยาบาลมากมาย จึงเป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับพระ มีสีกามาใกล้ชิด
ถ้าไม่นับคนที่มาปลอมบวชหรือมาบวชเพื่อหวังลาภสักการะ คนที่ตั้งใจมาบวชเพื่อละเลิกกิเลสจริงๆแล้วพลาดไป แล้วล้มเหลวในชีวิต อย่างสิ้นเชิง เป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก ไม่ควรซ้ำเติม เป็นเรื่องน่าให้อภัยอย่างยิ่ง ไม่ควรประจานต่อสาธารณะ และเหตุการณ์เหล่านี้สอนให้รู้ว่า การทำความดี ลดละเลิกกิเลส ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เป็นงานหนักที่แม้ชั่วชีวิตนี้ ก็คงไม่แล้วเสร็จง่ายๆเลยทีเดียว.
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๔