พระครูธรรมรัตนคุณ (หลวงพ่อรัตน์)
อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธาราม อดีตเจ้าคณะอำเภอโพธาราม
สมัยที่ข้าพเจ้าเด็กๆ เมื่อจำความได้ สถานที่กว้างขวาง เด็กๆวิ่งเล่นกันสนุกสนานก็คือ ที่หาดทรายโพธาราม และที่วัดโพธาราม ซอยตลาดสด สมัยนั้นยังไม่มี โครงการคุมกำเนิด มีเด็กมากมาย บ้านหนึ่งมีนับสิบขึ้นไป เป็นเรื่องธรรมดา เด็กในซอยตลาดสดข้าพเจ้าว่ามีนับร้อยๆคน
ที่วัดโพธาราม หลังป่าช้า มีเครื่องเล่นเด็ก เช่น ชิงช้า ที่ลื่น ไม่ทราบใครเอามาตั้งมีมานานเท่าไรก็ไม่รู้ แถวใต้ต้นพิกุล หน้าคณะใต้ เป็นบริเวณที่ร่มรื่น เป็นที่เล่นของพวกเรา
หลวงพ่อรัตน์ ทราบว่าเป็น “เจ้าคณะ” ใต้ เรือนแถวกุฎิไม้ อยู่ติดกับโรงเจซุ่นเทียนตั๊ว
มีหลวงพี่ประทีป (พระครูโพธิวราทร) ซึ่ง เป็นพระหนุ่มที่สุดสมัยนั้น อยู่คณะใต้ด้วย
หลวงพ่อหนู เป็น ”เจ้าคณะ” เหนือ เรือนแถวกุฏิไม้ อยู่ติดกับท่ารถจอด ซึ่งเป็น “ตึกกุฎิ” ในปัจจุบัน เวลาไปสวดมนต์พิธีที่บ้านต่างๆในตลาด จะมีหลวงพ่อรัตน์นำคณะไปเสมอ หลวงพ่อหนูท่านก็เป็นเจ้าอาวาส และเจ้าคณะอำเภอสมัยนั้น ท่านอายุมากแล้ว ไม่ค่อยได้ไป
ตอนเช้า หลวงพ่อรัตน์ จะนำคณะสงฆ์ออกบิณฑบาต ทุกวัน เป็นภาพที่งดงามติดตาติดใจข้าพเจ้ามาจนถึงปัจจุบัน(เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว) หลวงพ่อรัตน์ ท่านเป็นกันเองกับ ข้าพเจ้ามาก และเป็นกันเองกับทุกๆคน ใครที่ได้ไปกราบท่าน ก็จะได้สัมผัสถึงความเมตตาที่ท่านให้ อย่างเยือกเย็นและ ล้นเหลือ
ท่านเคยถามข้าพเจ้าในงานบุญที่วัดโพธาราม วันหนึ่ง ว่าภรรยาคนที่ไหน ข้าพเจ้าตอบว่า คนบ้านไผ่ ขอนแก่น ท่านว่าวลาว สวนมาทันที ว่าคน(ภาคอีสาน)บ้านเดียวกัน แล้วท่านก็ว่าวลาวตลอด ข้าพเจ้าไม่กล้าถามต่อว่า ท่านเป็นคนจังหวัดอะไร เพราะเห็นท่านอยู่โพธารามมาตั้งแต่ข้าพเจ้าจำความได้ (ท่านสุชัย (พี่ตุ้ย) บอก ไม่นานนี้ ว่าท่านเป็นคนตำบลดอนทราย)
ข้าพเจ้าเคยมาบวชหน้าไฟตอน อาม่าถึงแก่กรรม เมื่อปี พ.ศ. 2515 ท่านชรามากแล้วท่านมอบให้ หลวงพ่อทุย บวชให้ ท่านนั่งอยู่ข้างๆ ท่านแซวว่า เดี๋ยวพวกเณรทั้งหลายก็จะได้ซองกัน ไม่ต้องห่วงจะอดข้าวเย็น(เพราะเดี๋ยวก็สึกแล้ว) หลวงพ่อทุยท่านให้กรรมฐาน เกศา โลมา นขา ทันตา ตัจโจ ให้ท่องย้อนกลับไปกลับมา
ตอนท่านยังไม่ได้อาพาธมาก ข้าพเจ้าเคยไปกราบ ท่านจะอยู่ใกล้ชิดกับหลวงพ่อทุยตลอด ได้เคยปาวารณากับท่านว่าให้โทรตามได้ถ้าต้องการให้มาดูตรวจท่าน แต่ท่านไม่เคย ได้ตามข้าพเจ้าเลย (อาจเป็นเพราะท่านทราบว่าข้าพเจ้าเป็นสูติแพทย์ก็ได้ หรือมีแพทย์ท่านอื่นท่านตามมาดูอยู่แล้วก็ได้) ไม่เคยเห็นท่านเรียกรถพยาบาลไปรับท่านที่วัด ครั้งหนึ่ง ตอนที่ท่านชราภาพมากและอาพาธ ข้าพเจ้าเคยเห็นท่านมาโรงพยาบาลโพธาราม โดยมีหลวงพี่ประทีปประคองมา มากันสองคนเท่านั้น เมื่อท่านจากไปแล้ว พวกเราจึงรู้สึกสูญเสีย “บุคคลที่ทรงคุณค่าสูงยิ่ง” ของชาวโพธารามไปแล้ว
นายแพทย์สมบูรณ์ นันทานิช
(รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลโพธาราม)
ปล.
1. หลวงพ่อ หลวงลุง หลวงอา หลวงน้า หลวงปู่ หลวงตา หลวงพี่ เป็นการเรียก ลำดับ คล้ายๆว่าเป็นญาติกัน เทียบลำดับไหน โดยมากมักจะยกย่องให้มีฐานะสูงกว่า เพราะไม่เคย ได้ยินมีการเรียกว่า หลวงน้อง หลวงลูก หลวงหลาน หลวงเหลน ข้าพเจ้า ไม่ถนัดเรียก หลวงอา หลวงน้า หลวงลุง แต่ถนัดเรียก หลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตา เพราะที่เป็นญาติ ไม่ค่อยได้มีมาบวชนานๆ ไม่รู้จะนับญาติอย่างไร
2.หลวงพ่อทุย ต่อมา หลังจากท่านพระครูธรรมรัตนคุณ ได้มรณภาพลงแล้ว ท่านได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านฆ้อง บ้านเกิดของท่าน
วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552
กฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขUSA ผ่านวุฒิสภาสหรัฐ
วุฒิสภาสหรัฐโหวตผ่านกฎหมายปฏิรูปสาธารณสุข
บารัค โอบามา
"โอ บามา" ได้รับชัยครั้งใหญ่อีกครั้ง หลังวุฒิสภาโหวตผ่าน กม.ปฏิรูประบบสาธารณสุขด้วยคะแนน 100 เสียง หลังต้องยืดเยื้อมานาน ที่มีมูลค่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ...
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ธ.ค. ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ ถือว่าได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ทางการเมือง หลังวุฒิสภาเสียงส่วนใหญ่โหวตอนุมัติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุข ทุ่มงบประมาณ 871,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยกเครื่องระบบสาธารณสุข เพื่อขยายผลประโยชน์ครอบคลุมสิทธิการรักษาพยาบาลให้แก่ชาวอเมริกันอีกกว่า 31 ล้านคน จาก 36 ล้านคน ที่ยังตกอยู่ในสภาพความไม่มั่นคงด้านประกันสุขภาพ ขั้นตอนการโหวตเริ่มต้นเมื่อช่วงเช้า 07.00 น. วันพฤหัสบดี หรือตรงกับเวลาช่วงค่ำ19.00 น. วันเดียวกัน (ตามเวลาประเทศไทย) คะแนนเสียงในวุฒิสภา100 คน ฝ่ายเดโมคแครตครอง 58 เสียง พันธมิตรอีก 2 เสียง รวม 60 เสียง คาดว่าลงคะแนนสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ทั้งหมด ส่วนพรรครีพับลิกันครองเก้าอี้ในวุฒิสภาอีก 40 เสียง
ก่อนหน้านี้ ความพยายามผลักดันกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขติดขัดยืดเยื้อมาตลอดหลายเดือน เพราะฝ่ายรีพับลิกันพยายามขัดขวางคัดค้าน ต้้องมีการเจรจากันหลายครั้งหลายครา จนกระทั่งสภาชิกสภาผู้แทนราษฎรโหวตผ่านร่างกฏหมายฉบับนี้เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังการลงมติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขฉบับนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือประธานาธิบดีโอบามาจะลงนามรับรองกฎหมายและดำเนินการต่างๆให้ แล้วเสร็จก่อนถึงการแถลงผลงานและนโยบายประจำปีของผู้นำสหรัฐ หรือ "สเตรท ออฟ ดิ ยูเนียน" ในช่วงปลายเดือน ม.ค.ปีหน้า ซึ่งนโยบายปฏิรูประบบสาธารณสุขถือเป็นนโยบายในประเทศที่สำคัญที่สุดของ ประธานาธิบดีโอบามาที่ใช้หาเสียง ภายใต้กฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขฉบับใหม่ จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของระบบสาธารณสุขของสหรัฐ มูลค่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ระบบสาธารณสุขของสหรัฐก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2508 มุ่งช่วยเหลือดูแลกลุ่มคนสูงอายุ การปฏิรูประบบสาธารณสุขครั้งนี้ จะขยายครอบคลุมถึงชาวอเมริกันอีกราว 31 ล้านคน ทั้งในเรื่องเกี่ยวกับภาษี การทำแท้งและระบบประกันสุขภาพ รวมชาวอเมริกันจะได้รับประโยชน์มากถึง 94 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม กว่าที่กฎหมายปฏิรูปสาธารณสุขฉบับนี้จะเริ่มบังคับใช้ได้คงต้องรอถึงปี 2557 แต่บริษัทประกันภัยหลายแห่งเริ่มปรับกลยุทธเตรียมรับข้อกฎหมายใหม่แล้ว.
ไทยรัฐออนไลน์
* โดย ทีมข่าวต่างประเทศ
* 25 ธันวาคม 2552, 08:45 น.
บารัค โอบามา
"โอ บามา" ได้รับชัยครั้งใหญ่อีกครั้ง หลังวุฒิสภาโหวตผ่าน กม.ปฏิรูประบบสาธารณสุขด้วยคะแนน 100 เสียง หลังต้องยืดเยื้อมานาน ที่มีมูลค่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ...
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ธ.ค. ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ ถือว่าได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ทางการเมือง หลังวุฒิสภาเสียงส่วนใหญ่โหวตอนุมัติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุข ทุ่มงบประมาณ 871,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยกเครื่องระบบสาธารณสุข เพื่อขยายผลประโยชน์ครอบคลุมสิทธิการรักษาพยาบาลให้แก่ชาวอเมริกันอีกกว่า 31 ล้านคน จาก 36 ล้านคน ที่ยังตกอยู่ในสภาพความไม่มั่นคงด้านประกันสุขภาพ ขั้นตอนการโหวตเริ่มต้นเมื่อช่วงเช้า 07.00 น. วันพฤหัสบดี หรือตรงกับเวลาช่วงค่ำ19.00 น. วันเดียวกัน (ตามเวลาประเทศไทย) คะแนนเสียงในวุฒิสภา100 คน ฝ่ายเดโมคแครตครอง 58 เสียง พันธมิตรอีก 2 เสียง รวม 60 เสียง คาดว่าลงคะแนนสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ทั้งหมด ส่วนพรรครีพับลิกันครองเก้าอี้ในวุฒิสภาอีก 40 เสียง
ก่อนหน้านี้ ความพยายามผลักดันกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขติดขัดยืดเยื้อมาตลอดหลายเดือน เพราะฝ่ายรีพับลิกันพยายามขัดขวางคัดค้าน ต้้องมีการเจรจากันหลายครั้งหลายครา จนกระทั่งสภาชิกสภาผู้แทนราษฎรโหวตผ่านร่างกฏหมายฉบับนี้เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังการลงมติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขฉบับนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือประธานาธิบดีโอบามาจะลงนามรับรองกฎหมายและดำเนินการต่างๆให้ แล้วเสร็จก่อนถึงการแถลงผลงานและนโยบายประจำปีของผู้นำสหรัฐ หรือ "สเตรท ออฟ ดิ ยูเนียน" ในช่วงปลายเดือน ม.ค.ปีหน้า ซึ่งนโยบายปฏิรูประบบสาธารณสุขถือเป็นนโยบายในประเทศที่สำคัญที่สุดของ ประธานาธิบดีโอบามาที่ใช้หาเสียง ภายใต้กฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขฉบับใหม่ จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของระบบสาธารณสุขของสหรัฐ มูลค่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ระบบสาธารณสุขของสหรัฐก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2508 มุ่งช่วยเหลือดูแลกลุ่มคนสูงอายุ การปฏิรูประบบสาธารณสุขครั้งนี้ จะขยายครอบคลุมถึงชาวอเมริกันอีกราว 31 ล้านคน ทั้งในเรื่องเกี่ยวกับภาษี การทำแท้งและระบบประกันสุขภาพ รวมชาวอเมริกันจะได้รับประโยชน์มากถึง 94 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม กว่าที่กฎหมายปฏิรูปสาธารณสุขฉบับนี้จะเริ่มบังคับใช้ได้คงต้องรอถึงปี 2557 แต่บริษัทประกันภัยหลายแห่งเริ่มปรับกลยุทธเตรียมรับข้อกฎหมายใหม่แล้ว.
ไทยรัฐออนไลน์
* โดย ทีมข่าวต่างประเทศ
* 25 ธันวาคม 2552, 08:45 น.
วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552
โรงพยาบาลคุณภาพ
โรงพยาบาลคุณภาพ
คุณภาพ และความปลอดภัย คือสิ่งที่สังคมคาดหวัง ต่อ ระบบบริการสุขภาพ
เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์
ความไม่พึงพอใจ
ความขัดแย้ง
ความเสี่ยง
ความสูญเปล่า
5 ประการนี้ก็ยังพบอยู่เรื่อยๆ
รพ.คุณภาพต้องมีกลไก กระตุ้น ส่งเสริม และพัฒนา
ให้เกิดคุณภาพ และความปลอดภัย
รพ.คุณภาพ อาจหมายถึง
รพ.ที่ผ่านมาตรฐาน HA
มีระบบบันได ๓ ขั้น (มิติลำดับขั้นของการพัฒนา)
๑. ทำงานประจำให้ดี คุยกัน ขยันทบทวน
๒. พัฒนาส่วนต่างๆขององค์กร ได้แก่ หน่วยบริการ ระบบงานกลุ่มผู้ป่วย และองค์กร อย่าเป็นระบบ
PDSA = Plan Do Study Act
๓. การสร้างวัฒนธรรมคุณภาพ วัฒนธรรมความปลอดภัย วัฒนธรรมการเรียนรู้ การปฏิบัติตามมาตรฐาน
ก่อให้เกิดผลลัพธ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับได้ แนวโน้มที่จะดีขึ้น
เป้าหมายของ HA
ส่งเสริมให้ ระบบบริการสุขภาพ เกิดการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้เกิด
๑.คุณภาพ ๒.ความปลอดภัย ๓.ผลลัพธ์ที่ดี
จากระบบบริการสุขภาพในโรงพยาบาล บูรณาการกับ แนวคิดในการสร้างเสริมสุขภาพ
อนาคต อาจกลายเป็น Healthcare Accreditation
HA - Dimension
มิติพื้นที่ในการพัฒนา
๑.หน่วยบริการ
๒.กลุ่มประชากรทางคลินิก
๓.ระบบงานต่างๆ
มิติของกระบวนการพัฒนา 3C-PDSA
3C คือ
1. บริบท Context
2. มาตรฐาน ( Criteria / Standards )
3. หลักคิดสำคัญ (Core Values & Concepts )
PDSA = Plan Do Study Act
Learning
1.การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
2.การอภิปรายกลุ่ม
3.สุนทรียสนทนา
4.การเขียนบันทึกความก้าวหน้า Portfolio
5.Tracer
6.Internal survey
7.After action review
8.Indicator monitoring
9.Quality review activity
10.Self assessment
11.Medical record review
12.เวทีรับฟังควสามคิดเห็น
หลักคิดสำคัญ (Core Values & Concepts )
เริ่มแรก
Individual Commitment
Team work
Customer focus
พัฒนาต่อมาเป็น
1.ทิศทางนำ
Visionary Leadership
Systems Perspective
Agility
2.ผู้รับผล
Patient and Customer Focus
Focus on Health
Community Responsibility
3.คนทำงาน
Value on staff
Individual Commitment
Team Work
Ethical and Professional Practice
4.การพัฒนา
Creative and Innovation
Management by Fact
Continuous process Improvement
Focus on results
Evidence-based approach
5.พาเรียนรู้
Learning
Empowerment
มาตรฐานของ HA
แบ่งออกเป็น 4 หมวด
1.การบริหารองค์กร
I-1 การนำ (LED = Leadership)
LED.1 Senior Leadership
LED.2 Governance and Social Responsibility
I-2 การบริหารเชิงกลยุทธ์ (STM = Strategy Management)
I-3 การมุ่งเน้นผู้ป่วย ผู้รับผลงาน ( PCF = Patient/Customer Focus)
PCF.1
PCF.2
PCF.3
I-4 การวัด วิเคราะห์ การจัดการความรู้
( Measurement , Analysis , and Knowledgement = MAK)
MAK.1
MAK.2
I-5 การมุ่งเน้น ทรัพยากรบุคคล ( Human Resource Focus = HRF)
I-6 การจัดการกระบวนการ ( PCM = Process Management )
PCM.1
PCM.2
2.ระบบงานที่สำคัญของโรงพยาบาล
II-1 การบริหารความเสี่ยง
II-2 การกำกับดูแลวิชาชีพ
II-3 สิ่งแวดล้อมในการดูแลผู้ป่วย
II-4 การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ
II-5 ระบบเวชระเบียน
II-6 ระบบการจัดการด้านยา
II-7 การตรวจสอบประกอบการวินิจฉัยโรค และบริการที่เกี่ยวข้อง
II-8 การเฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพ
II-9 การทำงานกับชุมชน
3.กระบวนการดูแลผู้ป่วย
III-1 การเข้าถึงและรับบริการ
III-2 การประเมินผู้ป่วย
III-3 การวางแผน
III-4 การดูแลผู้ป่วย
III-5 การให้ข้อมูลและเสริมพลังแก่ผู้ป่วย/ครอบครัว
III-6 การดูแลต่อเนื่อง
4.ผลการดำเนินงานขององค์กร
IV-1 ผลด้านการดูแลผู้ป่วย
IV-2 ผลด้านการมุ่งเน้นของผู้ป่วยและผู้รับผลงานอื่น
IV-3 ผลด้านการเงิน
IV-4 ผลด้านทรัพยากรบุคคล
IV-5 ผลดานระบบงานและกระบวนการสำคัญ
IV-6 ผลด้านการนำ
IV-7 ผลด้านการสร้างเสริมสุขภาพ
คุณภาพ และความปลอดภัย คือสิ่งที่สังคมคาดหวัง ต่อ ระบบบริการสุขภาพ
เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์
ความไม่พึงพอใจ
ความขัดแย้ง
ความเสี่ยง
ความสูญเปล่า
5 ประการนี้ก็ยังพบอยู่เรื่อยๆ
รพ.คุณภาพต้องมีกลไก กระตุ้น ส่งเสริม และพัฒนา
ให้เกิดคุณภาพ และความปลอดภัย
รพ.คุณภาพ อาจหมายถึง
รพ.ที่ผ่านมาตรฐาน HA
มีระบบบันได ๓ ขั้น (มิติลำดับขั้นของการพัฒนา)
๑. ทำงานประจำให้ดี คุยกัน ขยันทบทวน
๒. พัฒนาส่วนต่างๆขององค์กร ได้แก่ หน่วยบริการ ระบบงานกลุ่มผู้ป่วย และองค์กร อย่าเป็นระบบ
PDSA = Plan Do Study Act
๓. การสร้างวัฒนธรรมคุณภาพ วัฒนธรรมความปลอดภัย วัฒนธรรมการเรียนรู้ การปฏิบัติตามมาตรฐาน
ก่อให้เกิดผลลัพธ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับได้ แนวโน้มที่จะดีขึ้น
เป้าหมายของ HA
ส่งเสริมให้ ระบบบริการสุขภาพ เกิดการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้เกิด
๑.คุณภาพ ๒.ความปลอดภัย ๓.ผลลัพธ์ที่ดี
จากระบบบริการสุขภาพในโรงพยาบาล บูรณาการกับ แนวคิดในการสร้างเสริมสุขภาพ
อนาคต อาจกลายเป็น Healthcare Accreditation
HA - Dimension
มิติพื้นที่ในการพัฒนา
๑.หน่วยบริการ
๒.กลุ่มประชากรทางคลินิก
๓.ระบบงานต่างๆ
มิติของกระบวนการพัฒนา 3C-PDSA
3C คือ
1. บริบท Context
2. มาตรฐาน ( Criteria / Standards )
3. หลักคิดสำคัญ (Core Values & Concepts )
PDSA = Plan Do Study Act
Learning
1.การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
2.การอภิปรายกลุ่ม
3.สุนทรียสนทนา
4.การเขียนบันทึกความก้าวหน้า Portfolio
5.Tracer
6.Internal survey
7.After action review
8.Indicator monitoring
9.Quality review activity
10.Self assessment
11.Medical record review
12.เวทีรับฟังควสามคิดเห็น
หลักคิดสำคัญ (Core Values & Concepts )
เริ่มแรก
Individual Commitment
Team work
Customer focus
พัฒนาต่อมาเป็น
1.ทิศทางนำ
Visionary Leadership
Systems Perspective
Agility
2.ผู้รับผล
Patient and Customer Focus
Focus on Health
Community Responsibility
3.คนทำงาน
Value on staff
Individual Commitment
Team Work
Ethical and Professional Practice
4.การพัฒนา
Creative and Innovation
Management by Fact
Continuous process Improvement
Focus on results
Evidence-based approach
5.พาเรียนรู้
Learning
Empowerment
มาตรฐานของ HA
แบ่งออกเป็น 4 หมวด
1.การบริหารองค์กร
I-1 การนำ (LED = Leadership)
LED.1 Senior Leadership
LED.2 Governance and Social Responsibility
I-2 การบริหารเชิงกลยุทธ์ (STM = Strategy Management)
I-3 การมุ่งเน้นผู้ป่วย ผู้รับผลงาน ( PCF = Patient/Customer Focus)
PCF.1
PCF.2
PCF.3
I-4 การวัด วิเคราะห์ การจัดการความรู้
( Measurement , Analysis , and Knowledgement = MAK)
MAK.1
MAK.2
I-5 การมุ่งเน้น ทรัพยากรบุคคล ( Human Resource Focus = HRF)
I-6 การจัดการกระบวนการ ( PCM = Process Management )
PCM.1
PCM.2
2.ระบบงานที่สำคัญของโรงพยาบาล
II-1 การบริหารความเสี่ยง
II-2 การกำกับดูแลวิชาชีพ
II-3 สิ่งแวดล้อมในการดูแลผู้ป่วย
II-4 การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ
II-5 ระบบเวชระเบียน
II-6 ระบบการจัดการด้านยา
II-7 การตรวจสอบประกอบการวินิจฉัยโรค และบริการที่เกี่ยวข้อง
II-8 การเฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพ
II-9 การทำงานกับชุมชน
3.กระบวนการดูแลผู้ป่วย
III-1 การเข้าถึงและรับบริการ
III-2 การประเมินผู้ป่วย
III-3 การวางแผน
III-4 การดูแลผู้ป่วย
III-5 การให้ข้อมูลและเสริมพลังแก่ผู้ป่วย/ครอบครัว
III-6 การดูแลต่อเนื่อง
4.ผลการดำเนินงานขององค์กร
IV-1 ผลด้านการดูแลผู้ป่วย
IV-2 ผลด้านการมุ่งเน้นของผู้ป่วยและผู้รับผลงานอื่น
IV-3 ผลด้านการเงิน
IV-4 ผลด้านทรัพยากรบุคคล
IV-5 ผลดานระบบงานและกระบวนการสำคัญ
IV-6 ผลด้านการนำ
IV-7 ผลด้านการสร้างเสริมสุขภาพ
วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552
การประเมินทักษะทางการบริหาร ของ กพ
การประเมินทักษะ ทางการบริหาร ของ กพ.
มีหัวข้อการประเมิน 12 เรื่อง ดังนี้
(1) การบริหารการเปลี่ยนแปลง Change Management
(2) การมีจิตมุ่งบริการ Service Mind
(3) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ Strategic planning
(4) การตัดสินใจ Dicision making
(5) การคิดเชิงกลยุทธ์ Strategic thinking
(6) ความเป็นผู้นำ Leadership
(7) การปรับตัวและความยืดหยุ่น
(8) ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร Communication skill
(9) การประสานสัมพันธ์ Coordination
(10) การรับผิดชอบตรวจสอบได้ Accountability
(11) การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ MBO
(12) การบริหารทรัพยากร Resource management
7. นิยามศัพท์เฉพาะ
1. สมรรถนะหลักทางการบริหารของนักบริหารระดับสูง แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1.1 ความรอบรู้ในการบริหาร (Business Acumen)
1.1.1 การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Managing Change) การริเริ่มเป็นผู้นำ
ในการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร เพื่อให้องค์กรสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ การให้การสนับสนุนผู้อื่นในองค์กรให้นำความคิดริเริ่มที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรมาปฏิบัติให้เป็นผลสำเร็จ โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนด้านการกำหนดขอบเขต ขั้นตอน และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปลี่ยนแปลง
1.1.2 การมีจิตมุ่งบริการ (Customer Service Orientation) ความมุ่งมั่นใน
การให้บริการ ช่วยเหลือเสริมสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับผู้รับบริการ โดยมุ่งหาความต้องการของผู้รับบริการ กำหนดเป้าหมายและแนวทางการปฏิบัติงานที่สอดคล้องสนองความต้องการของผู้รับบริการในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
1.1.3 การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) การสร้างแผนการปฏิบัติงาน
ที่มีการระบุเป้าหมาย วัตถุประสงค์ กลยุทธ์ และแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เป็นการวางแผนในเชิงกลยุทธ์และในระดับปฏิบัติการ โดยพิจารณาเงื่อนไขของเวลาทรัพยากร ความสำคัญเร่งด่วน และการคาดการณ์ถึงปัญหาและโอกาสที่อาจเป็นไปได้ด้วย
1.2 การบริหารอย่างมืออาชีพ (Professional Management)
1.2.1 การตัดสินใจ (Decision Making) การเลือกดำเนินการอย่างใด อย่างหนึ่ง
โดยพิจารณาจากข้อมูล โอกาส ปัญหา ประเมินทางเลือกและผลลัพธ์ เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุดในสถานการณ์นั้น ๆ ในเวลาที่เหมาะสม ตลอดจนวิเคราะห์แยกแยะ ระบุประเด็นของปัญหา และตัดสินใจ แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์
1.2.2 การคิดเชิงกลยุทธ์ (Thinking) การระบุ กำหนดขอบข่ายและวิเคราะห์
ปัญหา สถานการณ์ โดยใช้หลักเหตุผล และประสบการณ์ประกอบกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุป การตัดสินใจ แนวทางปฏิบัติ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม อีกทั้งทำให้เห็นศักยภาพและแนวทางใหม่ ๆ
1.2.3 ความเป็นผู้นำ (Leadership) การสร้างและประชาสัมพันธ์วิสัยทัศน์
6
ขององค์กร โน้มน้าวผู้อื่นให้ยอมรับและมุ่งสู่วิสัยทัศน์ขององค์กร ให้การสนับสนุนผู้อื่น ทั้งในด้านการให้คำแนะนำ และการให้อำนาจให้สามารถเจริญก้าวหน้าอย่างมืออาชีพ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทั้งในระดับบุคคล ทีมงานและระดับองค์กรในด้านทัศนคติ การปฏิบัติงานและการตัดสินใจ
1.3 การบริหารคน (Human Resource Management)
1.3.1 การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability and Flexibility)
การปรับตัวหรือการเปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบัติงานให้เข้ากับทุกสถานการณ์ บุคคล หรือ กลุ่มตามความต้องการของงานหรือขององค์กร สามารถทำความเข้าใจและรับฟังข้อความ คิดเห็นในมุมมองที่แตกต่างกัน
1.3.2 ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร (Communication) ทักษะและ
ศิลปะในการรับรู้และจับประเด็นจากการฟังและการอ่าน ตลอดจนทักษะในการถ่ายทอดความคิดและโน้มน้าวผู้ฟังและผู้อ่าน โดยการพูด การเขียน และการนำเสนอ เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายที่ต้องการและได้รับการสนับสนุนเห็นด้วยอย่างชัดเจน
1.3.3 การประสานสัมพันธ์ (Collaborativeness) การทำงานร่วมกับบุคคลอื่น
ที่เอื้อต่อการทำงานในองค์กร โดยสร้างความเคารพ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน
1.4 การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Result-based Management)
1.4.1 การรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Accountability) สำนึกในบทบาท หน้าที่
มุ่งมั่น ตั้งใจ เพื่อปฏิบัติงานตามการตัดสินใจให้บรรลุเป้าหมาย และปฏิบัติตามข้อยืนยันที่ให้กับผู้อื่นในขณะเดียวกันมีความพร้อมให้ตรวจสอบและพร้อมรับผิดชอบในผลการกระทำและการตัดสินใจ
1.4.2 การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ (Achieving Result) การบริหารการ
ปฏิบัติงานให้ได้ผลสำเร็จทันการณ์ตามแผนและเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อให้ผลผลิตและการบริหารที่ตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้ที่เกี่ยวข้อง (Stakeholders) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
1.4.3 การบริหารทรัพยากร (Managing Resources) ความสามารถในการ
บริหารจัดการทรัพยากร ทั้งภายในและภายนอก องค์การ (บุคลากร ข้อมูล เทคโนโลยี เวลาและทรัพยากรต้นทุนอื่น ๆ) มีการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถบรรลุ เป้าหมายขององค์กร กลุ่มและบุคคล โดยสามารถสอดรับกับความจำเป็นของการดำเนินการตามนโยบาย
การประเมินสมรรถนะหลักทางการบริหาร
สมรรถนะหลักของนักบริหารระดับสูง หมายถึง กลุ่มของพฤติกรรมทางการบริหารที่ก่อให้เกิดผลการปฏิบัติงานตามเป้าหมายขององค์การ
องค์ประกอบที่สำคัญของสมรรถนะนักบริหารระดับสูง คือ ความสามารถใน ด้านทักษะ ความรู้ และพฤติกรรมของการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับสมรรถนะขององค์การที่ ส่งผลให้องค์การสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ และภารกิจขององค์การได้ โดยทั่วไปสมรรถนะ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. สมรรถนะหลักทางการบริหาร (Executive Core Competencies) ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้ (1) เป็นสมรรถนะที่จำเป็นในทุก ๆ ส่วนขององค์การ และในบุคลากรทุกระดับ (2) สามารถแสดงคุณสมบัติเฉพาะของบุคคล (3) สามารถแยกระดับของผู้มีผลการปฏิบัติงานดี ปานกลาง และสูง ออกจากกัน และ (4) สามารถนำมาพัฒนาให้เป็นสมรรถนะที่ สั่งสมและอยู่กับบุคคล
2. สมรรถนะเฉพาะงาน (Job-related Competencies) มีลักษณะดังนี้ (1) มีความรู้เฉพาะทาง และทักษะในการปฏิบัติงานในหน้าที่หนึ่ง ๆ (2) สามารถพัฒนาได้จากการฝึกอบรมและจากประสบการณ์การทำงาน
สำหรับในราชการไทย จากการศึกษาวิจัยของสำนักงาน ก.พ. ปรากฏว่า
สมรรถนะหลักทางการบริหารของนักบริหารระดับสูง สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ และ 12 ด้าน (สำนักงาน ก.พ. ข้อเสนอโครงการจัดระบบนักบริหารระดับสูงในราชการ พลเรือนไทย หน้า 18-23) ดังนี้
1. ความรอบรู้ในการบริหาร (Business Acumen) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Managing Change) (2) การมีจิตมุ่งบริการ (Customer Service Orientation) และ (3) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning)
2. การบริหารอย่างมืออาชีพ (Professional Management) แบ่งออกเป็น
11
3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การตัดสินใจ (Decision Making) (2) การคิดเชิงกลยุทธ์ (Thinking) และ (3) ความเป็นผู้นำ (Leadership)
3. การบริหารคน (HR Management) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability & Flexibility) (2) ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร (Communication Skills) และ (3) การประสานสัมพันธ์ (Collaborativeness)
4. การบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Result-based Management) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Accountability) (2) การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ (Achieving Result) และ (3) การบริหารทรัพยากร (Managing Resources)
2. เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน
เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินสมรรถนะหลักทางการบริหาร เป็นแบบประเมิน
เพื่อใช้ประเมินสมรรถนะหลักทางการบริหาร รวม 12 สมรรถนะ คือ (1) การบริหารการ เปลี่ยนแปลง (Managing Change) (2) การมีจิตมุ่งบริการ (Customer Service Orientation) (3) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning) (4) การตัดสินใจ (Decision Making) (5) การคิดเชิงกลยุทธ์ (Thinking) (6) ความเป็นผู้นำ (Leadership) (7) การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability and Flexibility) (8) ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร (Communication Skills) (9) การประสานสัมพันธ์ (Collaborativeness) (10) การรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Accountability) (11) การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ (Achieving Result) และ (12) การบริหารทรัพยากร (Managing Resources)
มีหัวข้อการประเมิน 12 เรื่อง ดังนี้
(1) การบริหารการเปลี่ยนแปลง Change Management
(2) การมีจิตมุ่งบริการ Service Mind
(3) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ Strategic planning
(4) การตัดสินใจ Dicision making
(5) การคิดเชิงกลยุทธ์ Strategic thinking
(6) ความเป็นผู้นำ Leadership
(7) การปรับตัวและความยืดหยุ่น
(8) ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร Communication skill
(9) การประสานสัมพันธ์ Coordination
(10) การรับผิดชอบตรวจสอบได้ Accountability
(11) การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ MBO
(12) การบริหารทรัพยากร Resource management
7. นิยามศัพท์เฉพาะ
1. สมรรถนะหลักทางการบริหารของนักบริหารระดับสูง แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1.1 ความรอบรู้ในการบริหาร (Business Acumen)
1.1.1 การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Managing Change) การริเริ่มเป็นผู้นำ
ในการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร เพื่อให้องค์กรสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ การให้การสนับสนุนผู้อื่นในองค์กรให้นำความคิดริเริ่มที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรมาปฏิบัติให้เป็นผลสำเร็จ โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนด้านการกำหนดขอบเขต ขั้นตอน และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปลี่ยนแปลง
1.1.2 การมีจิตมุ่งบริการ (Customer Service Orientation) ความมุ่งมั่นใน
การให้บริการ ช่วยเหลือเสริมสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับผู้รับบริการ โดยมุ่งหาความต้องการของผู้รับบริการ กำหนดเป้าหมายและแนวทางการปฏิบัติงานที่สอดคล้องสนองความต้องการของผู้รับบริการในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
1.1.3 การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) การสร้างแผนการปฏิบัติงาน
ที่มีการระบุเป้าหมาย วัตถุประสงค์ กลยุทธ์ และแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เป็นการวางแผนในเชิงกลยุทธ์และในระดับปฏิบัติการ โดยพิจารณาเงื่อนไขของเวลาทรัพยากร ความสำคัญเร่งด่วน และการคาดการณ์ถึงปัญหาและโอกาสที่อาจเป็นไปได้ด้วย
1.2 การบริหารอย่างมืออาชีพ (Professional Management)
1.2.1 การตัดสินใจ (Decision Making) การเลือกดำเนินการอย่างใด อย่างหนึ่ง
โดยพิจารณาจากข้อมูล โอกาส ปัญหา ประเมินทางเลือกและผลลัพธ์ เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุดในสถานการณ์นั้น ๆ ในเวลาที่เหมาะสม ตลอดจนวิเคราะห์แยกแยะ ระบุประเด็นของปัญหา และตัดสินใจ แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์
1.2.2 การคิดเชิงกลยุทธ์ (Thinking) การระบุ กำหนดขอบข่ายและวิเคราะห์
ปัญหา สถานการณ์ โดยใช้หลักเหตุผล และประสบการณ์ประกอบกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุป การตัดสินใจ แนวทางปฏิบัติ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม อีกทั้งทำให้เห็นศักยภาพและแนวทางใหม่ ๆ
1.2.3 ความเป็นผู้นำ (Leadership) การสร้างและประชาสัมพันธ์วิสัยทัศน์
6
ขององค์กร โน้มน้าวผู้อื่นให้ยอมรับและมุ่งสู่วิสัยทัศน์ขององค์กร ให้การสนับสนุนผู้อื่น ทั้งในด้านการให้คำแนะนำ และการให้อำนาจให้สามารถเจริญก้าวหน้าอย่างมืออาชีพ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทั้งในระดับบุคคล ทีมงานและระดับองค์กรในด้านทัศนคติ การปฏิบัติงานและการตัดสินใจ
1.3 การบริหารคน (Human Resource Management)
1.3.1 การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability and Flexibility)
การปรับตัวหรือการเปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบัติงานให้เข้ากับทุกสถานการณ์ บุคคล หรือ กลุ่มตามความต้องการของงานหรือขององค์กร สามารถทำความเข้าใจและรับฟังข้อความ คิดเห็นในมุมมองที่แตกต่างกัน
1.3.2 ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร (Communication) ทักษะและ
ศิลปะในการรับรู้และจับประเด็นจากการฟังและการอ่าน ตลอดจนทักษะในการถ่ายทอดความคิดและโน้มน้าวผู้ฟังและผู้อ่าน โดยการพูด การเขียน และการนำเสนอ เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายที่ต้องการและได้รับการสนับสนุนเห็นด้วยอย่างชัดเจน
1.3.3 การประสานสัมพันธ์ (Collaborativeness) การทำงานร่วมกับบุคคลอื่น
ที่เอื้อต่อการทำงานในองค์กร โดยสร้างความเคารพ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน
1.4 การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Result-based Management)
1.4.1 การรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Accountability) สำนึกในบทบาท หน้าที่
มุ่งมั่น ตั้งใจ เพื่อปฏิบัติงานตามการตัดสินใจให้บรรลุเป้าหมาย และปฏิบัติตามข้อยืนยันที่ให้กับผู้อื่นในขณะเดียวกันมีความพร้อมให้ตรวจสอบและพร้อมรับผิดชอบในผลการกระทำและการตัดสินใจ
1.4.2 การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ (Achieving Result) การบริหารการ
ปฏิบัติงานให้ได้ผลสำเร็จทันการณ์ตามแผนและเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อให้ผลผลิตและการบริหารที่ตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้ที่เกี่ยวข้อง (Stakeholders) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
1.4.3 การบริหารทรัพยากร (Managing Resources) ความสามารถในการ
บริหารจัดการทรัพยากร ทั้งภายในและภายนอก องค์การ (บุคลากร ข้อมูล เทคโนโลยี เวลาและทรัพยากรต้นทุนอื่น ๆ) มีการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถบรรลุ เป้าหมายขององค์กร กลุ่มและบุคคล โดยสามารถสอดรับกับความจำเป็นของการดำเนินการตามนโยบาย
การประเมินสมรรถนะหลักทางการบริหาร
สมรรถนะหลักของนักบริหารระดับสูง หมายถึง กลุ่มของพฤติกรรมทางการบริหารที่ก่อให้เกิดผลการปฏิบัติงานตามเป้าหมายขององค์การ
องค์ประกอบที่สำคัญของสมรรถนะนักบริหารระดับสูง คือ ความสามารถใน ด้านทักษะ ความรู้ และพฤติกรรมของการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับสมรรถนะขององค์การที่ ส่งผลให้องค์การสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ และภารกิจขององค์การได้ โดยทั่วไปสมรรถนะ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. สมรรถนะหลักทางการบริหาร (Executive Core Competencies) ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้ (1) เป็นสมรรถนะที่จำเป็นในทุก ๆ ส่วนขององค์การ และในบุคลากรทุกระดับ (2) สามารถแสดงคุณสมบัติเฉพาะของบุคคล (3) สามารถแยกระดับของผู้มีผลการปฏิบัติงานดี ปานกลาง และสูง ออกจากกัน และ (4) สามารถนำมาพัฒนาให้เป็นสมรรถนะที่ สั่งสมและอยู่กับบุคคล
2. สมรรถนะเฉพาะงาน (Job-related Competencies) มีลักษณะดังนี้ (1) มีความรู้เฉพาะทาง และทักษะในการปฏิบัติงานในหน้าที่หนึ่ง ๆ (2) สามารถพัฒนาได้จากการฝึกอบรมและจากประสบการณ์การทำงาน
สำหรับในราชการไทย จากการศึกษาวิจัยของสำนักงาน ก.พ. ปรากฏว่า
สมรรถนะหลักทางการบริหารของนักบริหารระดับสูง สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ และ 12 ด้าน (สำนักงาน ก.พ. ข้อเสนอโครงการจัดระบบนักบริหารระดับสูงในราชการ พลเรือนไทย หน้า 18-23) ดังนี้
1. ความรอบรู้ในการบริหาร (Business Acumen) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Managing Change) (2) การมีจิตมุ่งบริการ (Customer Service Orientation) และ (3) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning)
2. การบริหารอย่างมืออาชีพ (Professional Management) แบ่งออกเป็น
11
3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การตัดสินใจ (Decision Making) (2) การคิดเชิงกลยุทธ์ (Thinking) และ (3) ความเป็นผู้นำ (Leadership)
3. การบริหารคน (HR Management) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability & Flexibility) (2) ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร (Communication Skills) และ (3) การประสานสัมพันธ์ (Collaborativeness)
4. การบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Result-based Management) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Accountability) (2) การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ (Achieving Result) และ (3) การบริหารทรัพยากร (Managing Resources)
2. เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน
เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินสมรรถนะหลักทางการบริหาร เป็นแบบประเมิน
เพื่อใช้ประเมินสมรรถนะหลักทางการบริหาร รวม 12 สมรรถนะ คือ (1) การบริหารการ เปลี่ยนแปลง (Managing Change) (2) การมีจิตมุ่งบริการ (Customer Service Orientation) (3) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning) (4) การตัดสินใจ (Decision Making) (5) การคิดเชิงกลยุทธ์ (Thinking) (6) ความเป็นผู้นำ (Leadership) (7) การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability and Flexibility) (8) ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร (Communication Skills) (9) การประสานสัมพันธ์ (Collaborativeness) (10) การรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Accountability) (11) การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ (Achieving Result) และ (12) การบริหารทรัพยากร (Managing Resources)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)