จีนอัปลักษณ์
นำใจความมาจากหนังสือเรื่องจีนอัปลักษณ์ ไป๋เอี๋ยง ผู้ประพันธ์ ส.สุวรรณ ผู้แปล
เรื่องนี้ตีพิมพ์ได้ทั้งในไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่ หลายสิบครั้ง จึงไม่ใช่หนังสือต้องห้ามแต่อย่างไร ปกติคนจีนจะเป็นคนที่ขี้โม้โอ้อวด แต่มองไม่เห็นความบกพร่อง ความไม่ดีของตนเอง ใครมาจี้จุดบอดนี้ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่รักชาติจีน เป็นคนที่ทรยศต่อพวกเดียวกัน ดังเช่นผู้ประพันธ์ ท่านนี้ต้องถูกจับติดคุกที่ไต้หวัน 9 ปี ชื่อจริงชื่อ กัวอีต้ง เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1920 ที่อำเภอฮุย มณฑลเห่อเป่อ เรื่องนี้ด่าคนจีนได้อย่างเจ็บแสบ แต่ด่าด้วยความสุจริตใจ ต้องการติเพื่อก่อ ต้องการเห็นประเทศจีนเจริญก้าวหน้า
บทความนี้อาจมีประโยชน์ในแง่ที่ให้หันมามองจุดอ่อนของคนไทยด้วยความเป็นธรรม อะไรที่ไม่ดีทำให้คนไทยไม่เจริญก็ว่ากันมาได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะกลายเป็นไม่รักคนไทยด้วยกัน หรือทรยศต่อชาติ ไม่เอาแต่ คุยโตโอ้อวดอวดว่า ไทยเราดีอย่างโน้นอย่างนี้ แง่ที่บกพร่อง ไม่ได้เรื่องได้ราวไม่ยอมเอามาพูด และคนไทยที่เชื้อสายจีน ก็จะมองเห็นด้านอีกด้านที่ไม่ดีด้วย
1.คนจีนเป็นคนขี้โม้ คุยโต ชอบโอ้อวด ว่าชาติตัวเอง เป็นชาติ ยิ่งใหญ่ เก่าแก่ ศิวิไลย์ เจริญมาก่อนชาติอื่นๆในโลก มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุด ไม่มีชาติอื่นจะเทียบได้ จริงๆแล้วเป็นเพียงโกหกคำโต
2.มีวัฒนธรรมที่น่ารังเกียจ คือ สกปรก ยุ่งเหยิง วุ่นวาย หนวกหู(ชอบพูดคุยกันเสียงดัง ไม่เกรงใจคนอื่น)
3.ไม่มีความสามัคคีกันในหมู่คนจีนด้วยกัน อยู่คนเดียวจะเก่ง พอรวมกลุ่มกันก็เอาแต่ทะเลาะกัน เกี่ยงกันทำงาน ตามคำพังเพยที่ว่า “พระสงฆ์รูปหนึ่งหาบน้ำกิน พระสงฆ์สองรูปหิ้วน้ำกิน พระสงฆ์สามรูปไม่มีน้ำกิน” “คนจีนหนึ่งคนเป็นมังกร คนจีนสามคนรวมกันเป็นหมู เป็นหนอน คนญี่ปุ่น หนึ่งคนเป็นหมู คนญี่ปุ่นสามคนรวมกันเข้าเป็นมังกร”
4.ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ลงมติกันแล้ว ก็ต่างคนต่างทำ ไม่ร่วมมือกัน
5.ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด กลับทำความผิดเพิ่ม เพื่อกลบความผิดเดิม
6.ชอกโกหก ปากกับใจไม่ตรงกัน เช่น ถามกินเข้าแล้วหรือยัง ถึงยัง ก็ต้องบอกกินแล้วทำให้คาดเดายากว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สิ้นเปลืองความคิดจิตใจในการคาดเดา
7.ชอบผูกอาฆาต ชอบล้างแค้นกัน อย่างไร้สาระ สามชั่วคนยังล้างแค้นกันไม่จบ ดังเช่นหนังกำลังภายในที่เราชอบดูกัน หลายเรื่องเป็นเรื่องของการล้างแค้นแทนพ่อแม่ปู่ย่าตายาย รุ่นลูกไม่รู้จักกันมาก่อนต้องมาฆ่ากัน
8.มีจิตใจคับแคบทำให้ คนจีนมีนิสัยออกเป็นสุดขั้ว สองขั้วคือ หนึ่งดูถูกตนเอง สูญเสียการรักศักดิ์ศรีตนเอง เกิดวัฒนธรรมประจบสอพลอ จนน่ารังเกียจ สอง ยะโสโอหัง ดูถูกคนอื่น ว่าเป็นแค่ขี้หมาก้อนหนึ่งไม่มีค่าควรแก่การชำเลืองมอง
10.ไม่กล้าใช้วิจารณญาณที่เป็นอิสระ แยกแยะไม่ออก ในความดีความชั่ว ผิดถูก
วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น