นพ.กาลิเลโอ กาลิเลอิ เป็นชาวอิตาลี เกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 ที่เมือง ปิซา ที่ตั้งของหอเอนเมืองปิซา เป็นลูกคนโตของ นายวินเซนชิโอ กาลิเลอิ ซึ่งเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงแต่ยากจน จึงต้องทำอาชีพค้าขนสัตว์เป็นอาชีพเสริม แม่ชื่อจูเลีย มีพี่น้องรวมกันทั้งหมด 7 คน พ่อเป็นคนรักการศึกษา เจียดเงินส่งลูกเรียน เด็กรุ่นเดียวกันไม่มีใครได้เรียน ออกทำงานกันหมด เข้าโรงเรียนตั้งแต่อายุ 9 ปี พ่ออยากให้ลูกเรียนหมอ ยอมอดอยาก สละเงินที่มีส่วนมาก ส่งให้เรียน ทั้งๆที่ภรรยาต่อว่าตลอดว่า ทำไมไม่ให้ออกมาช่วยทำงานช่วยกันเลี้ยงน้องอีกตั้ง 6 คน แต่พ่อก็ไม่ยอม ขยันหาเงินมากขึ้น อดออมมาให้ลูกคนนี้ได้เรียน
ตอนอยู่โรงเรียนก็เรียนภาษาลาติน ภาษากรีก วิชากลของปิธากอรัส คณิตศาสตร์ ปรัชญาแนวคิดของอริสโตเติ้ล(มีทั้ง ปรัชญา คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ อุตุนิยมวิทยา ชีววิทยาและการเมือง ฯลฯ) ชอบเถียงครู ที่สอนตามที่เชื่อๆกันมาแต่โบราณโดยไม่ได้พิสูจน์ มีฉายาตอนอยู่มหาวิทยาลัย ว่า นักโต้เถียง ทฤษฏีที่เขาโต้อริสโตเติ้ลจนมีชื่อเสียงหลังการพิสูจน์ว่าเขาถูกคือการพิสูจน์ ความเร็วการตกของของสองสิ่งที่มีมวลต่างกันว่าเท่ากัน คือความเร็วไม่ได้แปรผันตามมวลตามที่อริสโตเติ้ลว่าไว้ ค้นพบกฎการแกว่งของลูกตุ้มตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี จนครูบาอาจารย์ คนทั้งเมืองยอมรับ เรียนยังไม่จบพ่อก็หมดเงินส่งเสีย ก็สมัครเป็นอาจารย์บรรยายหน้าชั้นเรียนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบและหารายได้พิเศษเป็นหมอไปตรวจคนไข้ตามบ้าน กลางคืนค้นคว้าอ่านหนังสือจนแตกฉาน คิดค้นทฤษฎีอีกมากมาย เมื่อรวบรวมนำเสนอได้รับการยอมรับจากวงการนักวิทยาศาตร์ทั่วไปในสมัยนั้น ได้รับเชิญเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุเพียง 25 ปี ได้ออกโรงโต้แนวคิดของอริสโตเติ้ลมาตลอด โดยเน้นหนักเรื่องการทดลองพิสูจน์ความจริง ไม่ใช่เชื่อกันตามๆกันมา ต่อๆมา ปี ค.ศ.1591 บิดาตาย เขาเสียใจมาก เขาต้องรับภาระเลี้ยงดูแม่และน้องอีก 6 คน ดิ้นรนจนได้ย้ายไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ปาดัว มีเงินเดือนเพิ่ม 3 เท่า
เรื่องที่กระเทือนสถานภาพของเขา และนำเป็นสู่การถูกกักขังคือเรื่องทฤษฎีเรื่องศูนย์กลางของจักรวาล เขาเชื่อแบบนิโคลัส โคเปอร์นิคัส (เคยเป็นนักศึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยปาดัวแห่งนี้) ว่า โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาลตามที่เชื่อกันมาตามคัมภีร์ไบเบิ้ล ดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งในยุคนั้นการประกาศความเชื่อเรื่องนี้ถือว่าต่อต้านคริสตจักรที่กรุงโรม จะต้องถูกลงโทษหนักขนาดเผาให้ตายทั้งเป็น เช่นบาทหลวงจิออร์ดาโน บรูโน สอนเรื่องนี้ตรงข้ามกับคริสตจักรสอน ถูกตัดสินให้เผาให้ตายทั้งเป็น การค้นพบกล้องดูดาวในฮอลแลนด์ ทำให้กาลิเลโอมองเห็นสภาพความเป็นไปในท้องฟ้าได้แจ่มชัดขึ้น เขาเห็นดาวจันทร์บริวารของดาวพฤหัส 4 ดวง เห็นวงแหวนดาวเสาร์ เห็นจุดดับในดวงอาทิตย์ (ซึ่งการดูดวงอาทิตย์ทำให้เขาตาบอดในช่วงปัจฉิมวัย) เห็นภูเขาบนดวงจันทร์ เขาได้ตีพิมพ์การค้นพบของเขาในปี ค.ศ. 1610 ปีต่อมาเขาถูกสันตะปะปาเปาโลที่ 5 เรียกพบพิจารณาในศาล แล้วสั่งลงโทษเขา โดยห้ามพูดและตีพิมพ์เผยแพร่เรื่องนี้ ต่อมาเขาตีพิมพ์เรื่องนี้เป็นบทสนทนาโต้แย้งความเชื่อดังกล่าวเรื่อง”บทสนทนาว่าด้วยเรื่องดาราศาสตร์”
เดือนกุมภาพันธ์ คศ.1632 สันตะปะปาเออร์แบนที่ 8 เรียกพบ พิจารณาโทษ ฐานขัดคำสั่งที่ห้ามเผยแพร่แนวความคิดที่บอกว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล สั่งลงโทษกักขังกาลิเลโอ ตลอดชีวิต เขาอยู่ในที่ขัง จนตราบวันสุดท้ายในชีวิตเขาอย่างเดียวดาย มืดมิด ก่อนตายเขาตาบอด มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นแอบมาเยี่ยมเขาหลายท่าน สังคมในอิตาลียุคนั้น ไม่มีใครกล้าหาญสู้กับอำนาจของศาสนจักรที่มีศูนย์กลางที่กรุงโรม ยกเว้น นพ.กาลิเลโอ กาลิเลอิ เขาตายในที่กักขัง เมื่อ 9 มกราคม ค.ศ.1642
แม้ว่าจะตาบอด ความใฝ่ค้นหาสัจธรรมก็ยังไม่หยุด ในวาระสุดท้ายที่ถูกกักขังเขาได้ถ่ายทอด “เรื่องบทสนทนาว่าด้วยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่”ให้ กับนาย อีวานเจลิสตา ทอริเชลลี นักฟิสิกส์ผู้มีชื่อเสียงของอิตาลี เขาได้จดไว้และแอบนำไปตีพิมพ์ที่ประเทศฮอลแลนด์ในปี คศ.1638
ในยุคนั้น เริ่มเกิดการเคลื่อนไหวปฏิรูปศาสนาคริสต์นำโดย มาร์ติน ลูเธอร์ เกิดเป็นนิกายโปรแตสแตนท์มาจนถึงทุกวันนี้ ประเทศทางแถบเหนือของยุโรป เริ่มแข็งข้อไม่ยอมรับอำนาจของวาติกัน ทำให้สามารถตีพิมพ์งานของกาลิเลโอได้
ปี ค.ศ.1792 สันตะปะปา โจฮันเปาโลที่ 2 ประกาศว่าการลงโทษกาลิเลโอในศาลศาสนาเมื่อ 150 ปี ก่อนนั้นเป็นการพิพากษาที่ผิดพลาด
ในปีที่กาลิเลโอ ตาย เป็นปีที่ท่าน เซอร์ ไอแซค นิวตัน นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกชาวอังกฤษเกิดขึ้นพอดี น่าคิดนะครับว่าเป็นเขากลับมาเกิด หรือไม่?
จากเรื่องนี้ จะเห็นว่า การที่จะมีนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งๆขึ้นมาสักคนหนึ่ง จนมีการคิดออกนอกกรอบในปัจจุบันออกไปได้ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เขาได้รับการ ”ฟูมฟัก” จากพ่อที่แสนจะยากจน แต่รักการศึกษามาก ไม่กลัวแม้แต่เมียที่คัดค้านอย่างหนักว่าไม่ให้เรียน ส่งจนหมดแรงส่ง ก็เกิดมีคนเห็นความสามารถเขา และจ้างเขาเป็นอาจารย์ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา เพื่อให้เรียนต่อจนจบ เทียบในสมัยนี้ แมวมองก็ไปดูว่าเด็กคนไหนมีแววเป็นดาวรุ่งนักฟุตบอลชั้นยอด ก็มาพาเอาไปฝึก ภายหลังค่าตัวเป็นล้านๆปอนด์
ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย แต่คนที่พูดความจริงอาจตายได้
(ถอดความและสรุป จากหนังสือเรื่องกาลิเลโอ กาลิเลอิ บิดาแห่งนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่)
๒๕๔๐
วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น