พระครูธรรมรัตนคุณ (หลวงพ่อรัตน์)
อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธาราม อดีตเจ้าคณะอำเภอโพธาราม
สมัยที่ข้าพเจ้าเด็กๆ เมื่อจำความได้ สถานที่กว้างขวาง เด็กๆวิ่งเล่นกันสนุกสนานก็คือ ที่หาดทรายโพธาราม และที่วัดโพธาราม ซอยตลาดสด สมัยนั้นยังไม่มี โครงการคุมกำเนิด มีเด็กมากมาย บ้านหนึ่งมีนับสิบขึ้นไป เป็นเรื่องธรรมดา เด็กในซอยตลาดสดข้าพเจ้าว่ามีนับร้อยๆคน
ที่วัดโพธาราม หลังป่าช้า มีเครื่องเล่นเด็ก เช่น ชิงช้า ที่ลื่น ไม่ทราบใครเอามาตั้งมีมานานเท่าไรก็ไม่รู้ แถวใต้ต้นพิกุล หน้าคณะใต้ เป็นบริเวณที่ร่มรื่น เป็นที่เล่นของพวกเรา
หลวงพ่อรัตน์ ทราบว่าเป็น “เจ้าคณะ” ใต้ เรือนแถวกุฎิไม้ อยู่ติดกับโรงเจซุ่นเทียนตั๊ว
มีหลวงพี่ประทีป (พระครูโพธิวราทร) ซึ่ง เป็นพระหนุ่มที่สุดสมัยนั้น อยู่คณะใต้ด้วย
หลวงพ่อหนู เป็น ”เจ้าคณะ” เหนือ เรือนแถวกุฏิไม้ อยู่ติดกับท่ารถจอด ซึ่งเป็น “ตึกกุฎิ” ในปัจจุบัน เวลาไปสวดมนต์พิธีที่บ้านต่างๆในตลาด จะมีหลวงพ่อรัตน์นำคณะไปเสมอ หลวงพ่อหนูท่านก็เป็นเจ้าอาวาส และเจ้าคณะอำเภอสมัยนั้น ท่านอายุมากแล้ว ไม่ค่อยได้ไป
ตอนเช้า หลวงพ่อรัตน์ จะนำคณะสงฆ์ออกบิณฑบาต ทุกวัน เป็นภาพที่งดงามติดตาติดใจข้าพเจ้ามาจนถึงปัจจุบัน(เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว) หลวงพ่อรัตน์ ท่านเป็นกันเองกับ ข้าพเจ้ามาก และเป็นกันเองกับทุกๆคน ใครที่ได้ไปกราบท่าน ก็จะได้สัมผัสถึงความเมตตาที่ท่านให้ อย่างเยือกเย็นและ ล้นเหลือ
ท่านเคยถามข้าพเจ้าในงานบุญที่วัดโพธาราม วันหนึ่ง ว่าภรรยาคนที่ไหน ข้าพเจ้าตอบว่า คนบ้านไผ่ ขอนแก่น ท่านว่าวลาว สวนมาทันที ว่าคน(ภาคอีสาน)บ้านเดียวกัน แล้วท่านก็ว่าวลาวตลอด ข้าพเจ้าไม่กล้าถามต่อว่า ท่านเป็นคนจังหวัดอะไร เพราะเห็นท่านอยู่โพธารามมาตั้งแต่ข้าพเจ้าจำความได้ (ท่านสุชัย (พี่ตุ้ย) บอก ไม่นานนี้ ว่าท่านเป็นคนตำบลดอนทราย)
ข้าพเจ้าเคยมาบวชหน้าไฟตอน อาม่าถึงแก่กรรม เมื่อปี พ.ศ. 2515 ท่านชรามากแล้วท่านมอบให้ หลวงพ่อทุย บวชให้ ท่านนั่งอยู่ข้างๆ ท่านแซวว่า เดี๋ยวพวกเณรทั้งหลายก็จะได้ซองกัน ไม่ต้องห่วงจะอดข้าวเย็น(เพราะเดี๋ยวก็สึกแล้ว) หลวงพ่อทุยท่านให้กรรมฐาน เกศา โลมา นขา ทันตา ตัจโจ ให้ท่องย้อนกลับไปกลับมา
ตอนท่านยังไม่ได้อาพาธมาก ข้าพเจ้าเคยไปกราบ ท่านจะอยู่ใกล้ชิดกับหลวงพ่อทุยตลอด ได้เคยปาวารณากับท่านว่าให้โทรตามได้ถ้าต้องการให้มาดูตรวจท่าน แต่ท่านไม่เคย ได้ตามข้าพเจ้าเลย (อาจเป็นเพราะท่านทราบว่าข้าพเจ้าเป็นสูติแพทย์ก็ได้ หรือมีแพทย์ท่านอื่นท่านตามมาดูอยู่แล้วก็ได้) ไม่เคยเห็นท่านเรียกรถพยาบาลไปรับท่านที่วัด ครั้งหนึ่ง ตอนที่ท่านชราภาพมากและอาพาธ ข้าพเจ้าเคยเห็นท่านมาโรงพยาบาลโพธาราม โดยมีหลวงพี่ประทีปประคองมา มากันสองคนเท่านั้น เมื่อท่านจากไปแล้ว พวกเราจึงรู้สึกสูญเสีย “บุคคลที่ทรงคุณค่าสูงยิ่ง” ของชาวโพธารามไปแล้ว
นายแพทย์สมบูรณ์ นันทานิช
(รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลโพธาราม)
ปล.
1. หลวงพ่อ หลวงลุง หลวงอา หลวงน้า หลวงปู่ หลวงตา หลวงพี่ เป็นการเรียก ลำดับ คล้ายๆว่าเป็นญาติกัน เทียบลำดับไหน โดยมากมักจะยกย่องให้มีฐานะสูงกว่า เพราะไม่เคย ได้ยินมีการเรียกว่า หลวงน้อง หลวงลูก หลวงหลาน หลวงเหลน ข้าพเจ้า ไม่ถนัดเรียก หลวงอา หลวงน้า หลวงลุง แต่ถนัดเรียก หลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตา เพราะที่เป็นญาติ ไม่ค่อยได้มีมาบวชนานๆ ไม่รู้จะนับญาติอย่างไร
2.หลวงพ่อทุย ต่อมา หลังจากท่านพระครูธรรมรัตนคุณ ได้มรณภาพลงแล้ว ท่านได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านฆ้อง บ้านเกิดของท่าน
วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552
กฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขUSA ผ่านวุฒิสภาสหรัฐ
วุฒิสภาสหรัฐโหวตผ่านกฎหมายปฏิรูปสาธารณสุข
บารัค โอบามา
"โอ บามา" ได้รับชัยครั้งใหญ่อีกครั้ง หลังวุฒิสภาโหวตผ่าน กม.ปฏิรูประบบสาธารณสุขด้วยคะแนน 100 เสียง หลังต้องยืดเยื้อมานาน ที่มีมูลค่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ...
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ธ.ค. ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ ถือว่าได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ทางการเมือง หลังวุฒิสภาเสียงส่วนใหญ่โหวตอนุมัติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุข ทุ่มงบประมาณ 871,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยกเครื่องระบบสาธารณสุข เพื่อขยายผลประโยชน์ครอบคลุมสิทธิการรักษาพยาบาลให้แก่ชาวอเมริกันอีกกว่า 31 ล้านคน จาก 36 ล้านคน ที่ยังตกอยู่ในสภาพความไม่มั่นคงด้านประกันสุขภาพ ขั้นตอนการโหวตเริ่มต้นเมื่อช่วงเช้า 07.00 น. วันพฤหัสบดี หรือตรงกับเวลาช่วงค่ำ19.00 น. วันเดียวกัน (ตามเวลาประเทศไทย) คะแนนเสียงในวุฒิสภา100 คน ฝ่ายเดโมคแครตครอง 58 เสียง พันธมิตรอีก 2 เสียง รวม 60 เสียง คาดว่าลงคะแนนสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ทั้งหมด ส่วนพรรครีพับลิกันครองเก้าอี้ในวุฒิสภาอีก 40 เสียง
ก่อนหน้านี้ ความพยายามผลักดันกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขติดขัดยืดเยื้อมาตลอดหลายเดือน เพราะฝ่ายรีพับลิกันพยายามขัดขวางคัดค้าน ต้้องมีการเจรจากันหลายครั้งหลายครา จนกระทั่งสภาชิกสภาผู้แทนราษฎรโหวตผ่านร่างกฏหมายฉบับนี้เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังการลงมติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขฉบับนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือประธานาธิบดีโอบามาจะลงนามรับรองกฎหมายและดำเนินการต่างๆให้ แล้วเสร็จก่อนถึงการแถลงผลงานและนโยบายประจำปีของผู้นำสหรัฐ หรือ "สเตรท ออฟ ดิ ยูเนียน" ในช่วงปลายเดือน ม.ค.ปีหน้า ซึ่งนโยบายปฏิรูประบบสาธารณสุขถือเป็นนโยบายในประเทศที่สำคัญที่สุดของ ประธานาธิบดีโอบามาที่ใช้หาเสียง ภายใต้กฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขฉบับใหม่ จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของระบบสาธารณสุขของสหรัฐ มูลค่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ระบบสาธารณสุขของสหรัฐก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2508 มุ่งช่วยเหลือดูแลกลุ่มคนสูงอายุ การปฏิรูประบบสาธารณสุขครั้งนี้ จะขยายครอบคลุมถึงชาวอเมริกันอีกราว 31 ล้านคน ทั้งในเรื่องเกี่ยวกับภาษี การทำแท้งและระบบประกันสุขภาพ รวมชาวอเมริกันจะได้รับประโยชน์มากถึง 94 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม กว่าที่กฎหมายปฏิรูปสาธารณสุขฉบับนี้จะเริ่มบังคับใช้ได้คงต้องรอถึงปี 2557 แต่บริษัทประกันภัยหลายแห่งเริ่มปรับกลยุทธเตรียมรับข้อกฎหมายใหม่แล้ว.
ไทยรัฐออนไลน์
* โดย ทีมข่าวต่างประเทศ
* 25 ธันวาคม 2552, 08:45 น.
บารัค โอบามา
"โอ บามา" ได้รับชัยครั้งใหญ่อีกครั้ง หลังวุฒิสภาโหวตผ่าน กม.ปฏิรูประบบสาธารณสุขด้วยคะแนน 100 เสียง หลังต้องยืดเยื้อมานาน ที่มีมูลค่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ...
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ธ.ค. ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ ถือว่าได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ทางการเมือง หลังวุฒิสภาเสียงส่วนใหญ่โหวตอนุมัติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุข ทุ่มงบประมาณ 871,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยกเครื่องระบบสาธารณสุข เพื่อขยายผลประโยชน์ครอบคลุมสิทธิการรักษาพยาบาลให้แก่ชาวอเมริกันอีกกว่า 31 ล้านคน จาก 36 ล้านคน ที่ยังตกอยู่ในสภาพความไม่มั่นคงด้านประกันสุขภาพ ขั้นตอนการโหวตเริ่มต้นเมื่อช่วงเช้า 07.00 น. วันพฤหัสบดี หรือตรงกับเวลาช่วงค่ำ19.00 น. วันเดียวกัน (ตามเวลาประเทศไทย) คะแนนเสียงในวุฒิสภา100 คน ฝ่ายเดโมคแครตครอง 58 เสียง พันธมิตรอีก 2 เสียง รวม 60 เสียง คาดว่าลงคะแนนสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ทั้งหมด ส่วนพรรครีพับลิกันครองเก้าอี้ในวุฒิสภาอีก 40 เสียง
ก่อนหน้านี้ ความพยายามผลักดันกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขติดขัดยืดเยื้อมาตลอดหลายเดือน เพราะฝ่ายรีพับลิกันพยายามขัดขวางคัดค้าน ต้้องมีการเจรจากันหลายครั้งหลายครา จนกระทั่งสภาชิกสภาผู้แทนราษฎรโหวตผ่านร่างกฏหมายฉบับนี้เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังการลงมติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขฉบับนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือประธานาธิบดีโอบามาจะลงนามรับรองกฎหมายและดำเนินการต่างๆให้ แล้วเสร็จก่อนถึงการแถลงผลงานและนโยบายประจำปีของผู้นำสหรัฐ หรือ "สเตรท ออฟ ดิ ยูเนียน" ในช่วงปลายเดือน ม.ค.ปีหน้า ซึ่งนโยบายปฏิรูประบบสาธารณสุขถือเป็นนโยบายในประเทศที่สำคัญที่สุดของ ประธานาธิบดีโอบามาที่ใช้หาเสียง ภายใต้กฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขฉบับใหม่ จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของระบบสาธารณสุขของสหรัฐ มูลค่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ระบบสาธารณสุขของสหรัฐก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2508 มุ่งช่วยเหลือดูแลกลุ่มคนสูงอายุ การปฏิรูประบบสาธารณสุขครั้งนี้ จะขยายครอบคลุมถึงชาวอเมริกันอีกราว 31 ล้านคน ทั้งในเรื่องเกี่ยวกับภาษี การทำแท้งและระบบประกันสุขภาพ รวมชาวอเมริกันจะได้รับประโยชน์มากถึง 94 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม กว่าที่กฎหมายปฏิรูปสาธารณสุขฉบับนี้จะเริ่มบังคับใช้ได้คงต้องรอถึงปี 2557 แต่บริษัทประกันภัยหลายแห่งเริ่มปรับกลยุทธเตรียมรับข้อกฎหมายใหม่แล้ว.
ไทยรัฐออนไลน์
* โดย ทีมข่าวต่างประเทศ
* 25 ธันวาคม 2552, 08:45 น.
วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552
โรงพยาบาลคุณภาพ
โรงพยาบาลคุณภาพ
คุณภาพ และความปลอดภัย คือสิ่งที่สังคมคาดหวัง ต่อ ระบบบริการสุขภาพ
เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์
ความไม่พึงพอใจ
ความขัดแย้ง
ความเสี่ยง
ความสูญเปล่า
5 ประการนี้ก็ยังพบอยู่เรื่อยๆ
รพ.คุณภาพต้องมีกลไก กระตุ้น ส่งเสริม และพัฒนา
ให้เกิดคุณภาพ และความปลอดภัย
รพ.คุณภาพ อาจหมายถึง
รพ.ที่ผ่านมาตรฐาน HA
มีระบบบันได ๓ ขั้น (มิติลำดับขั้นของการพัฒนา)
๑. ทำงานประจำให้ดี คุยกัน ขยันทบทวน
๒. พัฒนาส่วนต่างๆขององค์กร ได้แก่ หน่วยบริการ ระบบงานกลุ่มผู้ป่วย และองค์กร อย่าเป็นระบบ
PDSA = Plan Do Study Act
๓. การสร้างวัฒนธรรมคุณภาพ วัฒนธรรมความปลอดภัย วัฒนธรรมการเรียนรู้ การปฏิบัติตามมาตรฐาน
ก่อให้เกิดผลลัพธ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับได้ แนวโน้มที่จะดีขึ้น
เป้าหมายของ HA
ส่งเสริมให้ ระบบบริการสุขภาพ เกิดการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้เกิด
๑.คุณภาพ ๒.ความปลอดภัย ๓.ผลลัพธ์ที่ดี
จากระบบบริการสุขภาพในโรงพยาบาล บูรณาการกับ แนวคิดในการสร้างเสริมสุขภาพ
อนาคต อาจกลายเป็น Healthcare Accreditation
HA - Dimension
มิติพื้นที่ในการพัฒนา
๑.หน่วยบริการ
๒.กลุ่มประชากรทางคลินิก
๓.ระบบงานต่างๆ
มิติของกระบวนการพัฒนา 3C-PDSA
3C คือ
1. บริบท Context
2. มาตรฐาน ( Criteria / Standards )
3. หลักคิดสำคัญ (Core Values & Concepts )
PDSA = Plan Do Study Act
Learning
1.การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
2.การอภิปรายกลุ่ม
3.สุนทรียสนทนา
4.การเขียนบันทึกความก้าวหน้า Portfolio
5.Tracer
6.Internal survey
7.After action review
8.Indicator monitoring
9.Quality review activity
10.Self assessment
11.Medical record review
12.เวทีรับฟังควสามคิดเห็น
หลักคิดสำคัญ (Core Values & Concepts )
เริ่มแรก
Individual Commitment
Team work
Customer focus
พัฒนาต่อมาเป็น
1.ทิศทางนำ
Visionary Leadership
Systems Perspective
Agility
2.ผู้รับผล
Patient and Customer Focus
Focus on Health
Community Responsibility
3.คนทำงาน
Value on staff
Individual Commitment
Team Work
Ethical and Professional Practice
4.การพัฒนา
Creative and Innovation
Management by Fact
Continuous process Improvement
Focus on results
Evidence-based approach
5.พาเรียนรู้
Learning
Empowerment
มาตรฐานของ HA
แบ่งออกเป็น 4 หมวด
1.การบริหารองค์กร
I-1 การนำ (LED = Leadership)
LED.1 Senior Leadership
LED.2 Governance and Social Responsibility
I-2 การบริหารเชิงกลยุทธ์ (STM = Strategy Management)
I-3 การมุ่งเน้นผู้ป่วย ผู้รับผลงาน ( PCF = Patient/Customer Focus)
PCF.1
PCF.2
PCF.3
I-4 การวัด วิเคราะห์ การจัดการความรู้
( Measurement , Analysis , and Knowledgement = MAK)
MAK.1
MAK.2
I-5 การมุ่งเน้น ทรัพยากรบุคคล ( Human Resource Focus = HRF)
I-6 การจัดการกระบวนการ ( PCM = Process Management )
PCM.1
PCM.2
2.ระบบงานที่สำคัญของโรงพยาบาล
II-1 การบริหารความเสี่ยง
II-2 การกำกับดูแลวิชาชีพ
II-3 สิ่งแวดล้อมในการดูแลผู้ป่วย
II-4 การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ
II-5 ระบบเวชระเบียน
II-6 ระบบการจัดการด้านยา
II-7 การตรวจสอบประกอบการวินิจฉัยโรค และบริการที่เกี่ยวข้อง
II-8 การเฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพ
II-9 การทำงานกับชุมชน
3.กระบวนการดูแลผู้ป่วย
III-1 การเข้าถึงและรับบริการ
III-2 การประเมินผู้ป่วย
III-3 การวางแผน
III-4 การดูแลผู้ป่วย
III-5 การให้ข้อมูลและเสริมพลังแก่ผู้ป่วย/ครอบครัว
III-6 การดูแลต่อเนื่อง
4.ผลการดำเนินงานขององค์กร
IV-1 ผลด้านการดูแลผู้ป่วย
IV-2 ผลด้านการมุ่งเน้นของผู้ป่วยและผู้รับผลงานอื่น
IV-3 ผลด้านการเงิน
IV-4 ผลด้านทรัพยากรบุคคล
IV-5 ผลดานระบบงานและกระบวนการสำคัญ
IV-6 ผลด้านการนำ
IV-7 ผลด้านการสร้างเสริมสุขภาพ
คุณภาพ และความปลอดภัย คือสิ่งที่สังคมคาดหวัง ต่อ ระบบบริการสุขภาพ
เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์
ความไม่พึงพอใจ
ความขัดแย้ง
ความเสี่ยง
ความสูญเปล่า
5 ประการนี้ก็ยังพบอยู่เรื่อยๆ
รพ.คุณภาพต้องมีกลไก กระตุ้น ส่งเสริม และพัฒนา
ให้เกิดคุณภาพ และความปลอดภัย
รพ.คุณภาพ อาจหมายถึง
รพ.ที่ผ่านมาตรฐาน HA
มีระบบบันได ๓ ขั้น (มิติลำดับขั้นของการพัฒนา)
๑. ทำงานประจำให้ดี คุยกัน ขยันทบทวน
๒. พัฒนาส่วนต่างๆขององค์กร ได้แก่ หน่วยบริการ ระบบงานกลุ่มผู้ป่วย และองค์กร อย่าเป็นระบบ
PDSA = Plan Do Study Act
๓. การสร้างวัฒนธรรมคุณภาพ วัฒนธรรมความปลอดภัย วัฒนธรรมการเรียนรู้ การปฏิบัติตามมาตรฐาน
ก่อให้เกิดผลลัพธ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับได้ แนวโน้มที่จะดีขึ้น
เป้าหมายของ HA
ส่งเสริมให้ ระบบบริการสุขภาพ เกิดการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้เกิด
๑.คุณภาพ ๒.ความปลอดภัย ๓.ผลลัพธ์ที่ดี
จากระบบบริการสุขภาพในโรงพยาบาล บูรณาการกับ แนวคิดในการสร้างเสริมสุขภาพ
อนาคต อาจกลายเป็น Healthcare Accreditation
HA - Dimension
มิติพื้นที่ในการพัฒนา
๑.หน่วยบริการ
๒.กลุ่มประชากรทางคลินิก
๓.ระบบงานต่างๆ
มิติของกระบวนการพัฒนา 3C-PDSA
3C คือ
1. บริบท Context
2. มาตรฐาน ( Criteria / Standards )
3. หลักคิดสำคัญ (Core Values & Concepts )
PDSA = Plan Do Study Act
Learning
1.การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
2.การอภิปรายกลุ่ม
3.สุนทรียสนทนา
4.การเขียนบันทึกความก้าวหน้า Portfolio
5.Tracer
6.Internal survey
7.After action review
8.Indicator monitoring
9.Quality review activity
10.Self assessment
11.Medical record review
12.เวทีรับฟังควสามคิดเห็น
หลักคิดสำคัญ (Core Values & Concepts )
เริ่มแรก
Individual Commitment
Team work
Customer focus
พัฒนาต่อมาเป็น
1.ทิศทางนำ
Visionary Leadership
Systems Perspective
Agility
2.ผู้รับผล
Patient and Customer Focus
Focus on Health
Community Responsibility
3.คนทำงาน
Value on staff
Individual Commitment
Team Work
Ethical and Professional Practice
4.การพัฒนา
Creative and Innovation
Management by Fact
Continuous process Improvement
Focus on results
Evidence-based approach
5.พาเรียนรู้
Learning
Empowerment
มาตรฐานของ HA
แบ่งออกเป็น 4 หมวด
1.การบริหารองค์กร
I-1 การนำ (LED = Leadership)
LED.1 Senior Leadership
LED.2 Governance and Social Responsibility
I-2 การบริหารเชิงกลยุทธ์ (STM = Strategy Management)
I-3 การมุ่งเน้นผู้ป่วย ผู้รับผลงาน ( PCF = Patient/Customer Focus)
PCF.1
PCF.2
PCF.3
I-4 การวัด วิเคราะห์ การจัดการความรู้
( Measurement , Analysis , and Knowledgement = MAK)
MAK.1
MAK.2
I-5 การมุ่งเน้น ทรัพยากรบุคคล ( Human Resource Focus = HRF)
I-6 การจัดการกระบวนการ ( PCM = Process Management )
PCM.1
PCM.2
2.ระบบงานที่สำคัญของโรงพยาบาล
II-1 การบริหารความเสี่ยง
II-2 การกำกับดูแลวิชาชีพ
II-3 สิ่งแวดล้อมในการดูแลผู้ป่วย
II-4 การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ
II-5 ระบบเวชระเบียน
II-6 ระบบการจัดการด้านยา
II-7 การตรวจสอบประกอบการวินิจฉัยโรค และบริการที่เกี่ยวข้อง
II-8 การเฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพ
II-9 การทำงานกับชุมชน
3.กระบวนการดูแลผู้ป่วย
III-1 การเข้าถึงและรับบริการ
III-2 การประเมินผู้ป่วย
III-3 การวางแผน
III-4 การดูแลผู้ป่วย
III-5 การให้ข้อมูลและเสริมพลังแก่ผู้ป่วย/ครอบครัว
III-6 การดูแลต่อเนื่อง
4.ผลการดำเนินงานขององค์กร
IV-1 ผลด้านการดูแลผู้ป่วย
IV-2 ผลด้านการมุ่งเน้นของผู้ป่วยและผู้รับผลงานอื่น
IV-3 ผลด้านการเงิน
IV-4 ผลด้านทรัพยากรบุคคล
IV-5 ผลดานระบบงานและกระบวนการสำคัญ
IV-6 ผลด้านการนำ
IV-7 ผลด้านการสร้างเสริมสุขภาพ
วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552
การประเมินทักษะทางการบริหาร ของ กพ
การประเมินทักษะ ทางการบริหาร ของ กพ.
มีหัวข้อการประเมิน 12 เรื่อง ดังนี้
(1) การบริหารการเปลี่ยนแปลง Change Management
(2) การมีจิตมุ่งบริการ Service Mind
(3) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ Strategic planning
(4) การตัดสินใจ Dicision making
(5) การคิดเชิงกลยุทธ์ Strategic thinking
(6) ความเป็นผู้นำ Leadership
(7) การปรับตัวและความยืดหยุ่น
(8) ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร Communication skill
(9) การประสานสัมพันธ์ Coordination
(10) การรับผิดชอบตรวจสอบได้ Accountability
(11) การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ MBO
(12) การบริหารทรัพยากร Resource management
7. นิยามศัพท์เฉพาะ
1. สมรรถนะหลักทางการบริหารของนักบริหารระดับสูง แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1.1 ความรอบรู้ในการบริหาร (Business Acumen)
1.1.1 การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Managing Change) การริเริ่มเป็นผู้นำ
ในการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร เพื่อให้องค์กรสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ การให้การสนับสนุนผู้อื่นในองค์กรให้นำความคิดริเริ่มที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรมาปฏิบัติให้เป็นผลสำเร็จ โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนด้านการกำหนดขอบเขต ขั้นตอน และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปลี่ยนแปลง
1.1.2 การมีจิตมุ่งบริการ (Customer Service Orientation) ความมุ่งมั่นใน
การให้บริการ ช่วยเหลือเสริมสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับผู้รับบริการ โดยมุ่งหาความต้องการของผู้รับบริการ กำหนดเป้าหมายและแนวทางการปฏิบัติงานที่สอดคล้องสนองความต้องการของผู้รับบริการในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
1.1.3 การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) การสร้างแผนการปฏิบัติงาน
ที่มีการระบุเป้าหมาย วัตถุประสงค์ กลยุทธ์ และแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เป็นการวางแผนในเชิงกลยุทธ์และในระดับปฏิบัติการ โดยพิจารณาเงื่อนไขของเวลาทรัพยากร ความสำคัญเร่งด่วน และการคาดการณ์ถึงปัญหาและโอกาสที่อาจเป็นไปได้ด้วย
1.2 การบริหารอย่างมืออาชีพ (Professional Management)
1.2.1 การตัดสินใจ (Decision Making) การเลือกดำเนินการอย่างใด อย่างหนึ่ง
โดยพิจารณาจากข้อมูล โอกาส ปัญหา ประเมินทางเลือกและผลลัพธ์ เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุดในสถานการณ์นั้น ๆ ในเวลาที่เหมาะสม ตลอดจนวิเคราะห์แยกแยะ ระบุประเด็นของปัญหา และตัดสินใจ แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์
1.2.2 การคิดเชิงกลยุทธ์ (Thinking) การระบุ กำหนดขอบข่ายและวิเคราะห์
ปัญหา สถานการณ์ โดยใช้หลักเหตุผล และประสบการณ์ประกอบกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุป การตัดสินใจ แนวทางปฏิบัติ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม อีกทั้งทำให้เห็นศักยภาพและแนวทางใหม่ ๆ
1.2.3 ความเป็นผู้นำ (Leadership) การสร้างและประชาสัมพันธ์วิสัยทัศน์
6
ขององค์กร โน้มน้าวผู้อื่นให้ยอมรับและมุ่งสู่วิสัยทัศน์ขององค์กร ให้การสนับสนุนผู้อื่น ทั้งในด้านการให้คำแนะนำ และการให้อำนาจให้สามารถเจริญก้าวหน้าอย่างมืออาชีพ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทั้งในระดับบุคคล ทีมงานและระดับองค์กรในด้านทัศนคติ การปฏิบัติงานและการตัดสินใจ
1.3 การบริหารคน (Human Resource Management)
1.3.1 การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability and Flexibility)
การปรับตัวหรือการเปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบัติงานให้เข้ากับทุกสถานการณ์ บุคคล หรือ กลุ่มตามความต้องการของงานหรือขององค์กร สามารถทำความเข้าใจและรับฟังข้อความ คิดเห็นในมุมมองที่แตกต่างกัน
1.3.2 ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร (Communication) ทักษะและ
ศิลปะในการรับรู้และจับประเด็นจากการฟังและการอ่าน ตลอดจนทักษะในการถ่ายทอดความคิดและโน้มน้าวผู้ฟังและผู้อ่าน โดยการพูด การเขียน และการนำเสนอ เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายที่ต้องการและได้รับการสนับสนุนเห็นด้วยอย่างชัดเจน
1.3.3 การประสานสัมพันธ์ (Collaborativeness) การทำงานร่วมกับบุคคลอื่น
ที่เอื้อต่อการทำงานในองค์กร โดยสร้างความเคารพ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน
1.4 การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Result-based Management)
1.4.1 การรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Accountability) สำนึกในบทบาท หน้าที่
มุ่งมั่น ตั้งใจ เพื่อปฏิบัติงานตามการตัดสินใจให้บรรลุเป้าหมาย และปฏิบัติตามข้อยืนยันที่ให้กับผู้อื่นในขณะเดียวกันมีความพร้อมให้ตรวจสอบและพร้อมรับผิดชอบในผลการกระทำและการตัดสินใจ
1.4.2 การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ (Achieving Result) การบริหารการ
ปฏิบัติงานให้ได้ผลสำเร็จทันการณ์ตามแผนและเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อให้ผลผลิตและการบริหารที่ตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้ที่เกี่ยวข้อง (Stakeholders) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
1.4.3 การบริหารทรัพยากร (Managing Resources) ความสามารถในการ
บริหารจัดการทรัพยากร ทั้งภายในและภายนอก องค์การ (บุคลากร ข้อมูล เทคโนโลยี เวลาและทรัพยากรต้นทุนอื่น ๆ) มีการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถบรรลุ เป้าหมายขององค์กร กลุ่มและบุคคล โดยสามารถสอดรับกับความจำเป็นของการดำเนินการตามนโยบาย
การประเมินสมรรถนะหลักทางการบริหาร
สมรรถนะหลักของนักบริหารระดับสูง หมายถึง กลุ่มของพฤติกรรมทางการบริหารที่ก่อให้เกิดผลการปฏิบัติงานตามเป้าหมายขององค์การ
องค์ประกอบที่สำคัญของสมรรถนะนักบริหารระดับสูง คือ ความสามารถใน ด้านทักษะ ความรู้ และพฤติกรรมของการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับสมรรถนะขององค์การที่ ส่งผลให้องค์การสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ และภารกิจขององค์การได้ โดยทั่วไปสมรรถนะ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. สมรรถนะหลักทางการบริหาร (Executive Core Competencies) ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้ (1) เป็นสมรรถนะที่จำเป็นในทุก ๆ ส่วนขององค์การ และในบุคลากรทุกระดับ (2) สามารถแสดงคุณสมบัติเฉพาะของบุคคล (3) สามารถแยกระดับของผู้มีผลการปฏิบัติงานดี ปานกลาง และสูง ออกจากกัน และ (4) สามารถนำมาพัฒนาให้เป็นสมรรถนะที่ สั่งสมและอยู่กับบุคคล
2. สมรรถนะเฉพาะงาน (Job-related Competencies) มีลักษณะดังนี้ (1) มีความรู้เฉพาะทาง และทักษะในการปฏิบัติงานในหน้าที่หนึ่ง ๆ (2) สามารถพัฒนาได้จากการฝึกอบรมและจากประสบการณ์การทำงาน
สำหรับในราชการไทย จากการศึกษาวิจัยของสำนักงาน ก.พ. ปรากฏว่า
สมรรถนะหลักทางการบริหารของนักบริหารระดับสูง สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ และ 12 ด้าน (สำนักงาน ก.พ. ข้อเสนอโครงการจัดระบบนักบริหารระดับสูงในราชการ พลเรือนไทย หน้า 18-23) ดังนี้
1. ความรอบรู้ในการบริหาร (Business Acumen) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Managing Change) (2) การมีจิตมุ่งบริการ (Customer Service Orientation) และ (3) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning)
2. การบริหารอย่างมืออาชีพ (Professional Management) แบ่งออกเป็น
11
3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การตัดสินใจ (Decision Making) (2) การคิดเชิงกลยุทธ์ (Thinking) และ (3) ความเป็นผู้นำ (Leadership)
3. การบริหารคน (HR Management) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability & Flexibility) (2) ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร (Communication Skills) และ (3) การประสานสัมพันธ์ (Collaborativeness)
4. การบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Result-based Management) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Accountability) (2) การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ (Achieving Result) และ (3) การบริหารทรัพยากร (Managing Resources)
2. เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน
เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินสมรรถนะหลักทางการบริหาร เป็นแบบประเมิน
เพื่อใช้ประเมินสมรรถนะหลักทางการบริหาร รวม 12 สมรรถนะ คือ (1) การบริหารการ เปลี่ยนแปลง (Managing Change) (2) การมีจิตมุ่งบริการ (Customer Service Orientation) (3) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning) (4) การตัดสินใจ (Decision Making) (5) การคิดเชิงกลยุทธ์ (Thinking) (6) ความเป็นผู้นำ (Leadership) (7) การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability and Flexibility) (8) ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร (Communication Skills) (9) การประสานสัมพันธ์ (Collaborativeness) (10) การรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Accountability) (11) การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ (Achieving Result) และ (12) การบริหารทรัพยากร (Managing Resources)
มีหัวข้อการประเมิน 12 เรื่อง ดังนี้
(1) การบริหารการเปลี่ยนแปลง Change Management
(2) การมีจิตมุ่งบริการ Service Mind
(3) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ Strategic planning
(4) การตัดสินใจ Dicision making
(5) การคิดเชิงกลยุทธ์ Strategic thinking
(6) ความเป็นผู้นำ Leadership
(7) การปรับตัวและความยืดหยุ่น
(8) ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร Communication skill
(9) การประสานสัมพันธ์ Coordination
(10) การรับผิดชอบตรวจสอบได้ Accountability
(11) การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ MBO
(12) การบริหารทรัพยากร Resource management
7. นิยามศัพท์เฉพาะ
1. สมรรถนะหลักทางการบริหารของนักบริหารระดับสูง แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1.1 ความรอบรู้ในการบริหาร (Business Acumen)
1.1.1 การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Managing Change) การริเริ่มเป็นผู้นำ
ในการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร เพื่อให้องค์กรสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ การให้การสนับสนุนผู้อื่นในองค์กรให้นำความคิดริเริ่มที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรมาปฏิบัติให้เป็นผลสำเร็จ โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนด้านการกำหนดขอบเขต ขั้นตอน และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปลี่ยนแปลง
1.1.2 การมีจิตมุ่งบริการ (Customer Service Orientation) ความมุ่งมั่นใน
การให้บริการ ช่วยเหลือเสริมสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับผู้รับบริการ โดยมุ่งหาความต้องการของผู้รับบริการ กำหนดเป้าหมายและแนวทางการปฏิบัติงานที่สอดคล้องสนองความต้องการของผู้รับบริการในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
1.1.3 การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) การสร้างแผนการปฏิบัติงาน
ที่มีการระบุเป้าหมาย วัตถุประสงค์ กลยุทธ์ และแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เป็นการวางแผนในเชิงกลยุทธ์และในระดับปฏิบัติการ โดยพิจารณาเงื่อนไขของเวลาทรัพยากร ความสำคัญเร่งด่วน และการคาดการณ์ถึงปัญหาและโอกาสที่อาจเป็นไปได้ด้วย
1.2 การบริหารอย่างมืออาชีพ (Professional Management)
1.2.1 การตัดสินใจ (Decision Making) การเลือกดำเนินการอย่างใด อย่างหนึ่ง
โดยพิจารณาจากข้อมูล โอกาส ปัญหา ประเมินทางเลือกและผลลัพธ์ เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุดในสถานการณ์นั้น ๆ ในเวลาที่เหมาะสม ตลอดจนวิเคราะห์แยกแยะ ระบุประเด็นของปัญหา และตัดสินใจ แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์
1.2.2 การคิดเชิงกลยุทธ์ (Thinking) การระบุ กำหนดขอบข่ายและวิเคราะห์
ปัญหา สถานการณ์ โดยใช้หลักเหตุผล และประสบการณ์ประกอบกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุป การตัดสินใจ แนวทางปฏิบัติ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม อีกทั้งทำให้เห็นศักยภาพและแนวทางใหม่ ๆ
1.2.3 ความเป็นผู้นำ (Leadership) การสร้างและประชาสัมพันธ์วิสัยทัศน์
6
ขององค์กร โน้มน้าวผู้อื่นให้ยอมรับและมุ่งสู่วิสัยทัศน์ขององค์กร ให้การสนับสนุนผู้อื่น ทั้งในด้านการให้คำแนะนำ และการให้อำนาจให้สามารถเจริญก้าวหน้าอย่างมืออาชีพ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทั้งในระดับบุคคล ทีมงานและระดับองค์กรในด้านทัศนคติ การปฏิบัติงานและการตัดสินใจ
1.3 การบริหารคน (Human Resource Management)
1.3.1 การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability and Flexibility)
การปรับตัวหรือการเปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบัติงานให้เข้ากับทุกสถานการณ์ บุคคล หรือ กลุ่มตามความต้องการของงานหรือขององค์กร สามารถทำความเข้าใจและรับฟังข้อความ คิดเห็นในมุมมองที่แตกต่างกัน
1.3.2 ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร (Communication) ทักษะและ
ศิลปะในการรับรู้และจับประเด็นจากการฟังและการอ่าน ตลอดจนทักษะในการถ่ายทอดความคิดและโน้มน้าวผู้ฟังและผู้อ่าน โดยการพูด การเขียน และการนำเสนอ เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายที่ต้องการและได้รับการสนับสนุนเห็นด้วยอย่างชัดเจน
1.3.3 การประสานสัมพันธ์ (Collaborativeness) การทำงานร่วมกับบุคคลอื่น
ที่เอื้อต่อการทำงานในองค์กร โดยสร้างความเคารพ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน
1.4 การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Result-based Management)
1.4.1 การรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Accountability) สำนึกในบทบาท หน้าที่
มุ่งมั่น ตั้งใจ เพื่อปฏิบัติงานตามการตัดสินใจให้บรรลุเป้าหมาย และปฏิบัติตามข้อยืนยันที่ให้กับผู้อื่นในขณะเดียวกันมีความพร้อมให้ตรวจสอบและพร้อมรับผิดชอบในผลการกระทำและการตัดสินใจ
1.4.2 การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ (Achieving Result) การบริหารการ
ปฏิบัติงานให้ได้ผลสำเร็จทันการณ์ตามแผนและเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อให้ผลผลิตและการบริหารที่ตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้ที่เกี่ยวข้อง (Stakeholders) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
1.4.3 การบริหารทรัพยากร (Managing Resources) ความสามารถในการ
บริหารจัดการทรัพยากร ทั้งภายในและภายนอก องค์การ (บุคลากร ข้อมูล เทคโนโลยี เวลาและทรัพยากรต้นทุนอื่น ๆ) มีการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถบรรลุ เป้าหมายขององค์กร กลุ่มและบุคคล โดยสามารถสอดรับกับความจำเป็นของการดำเนินการตามนโยบาย
การประเมินสมรรถนะหลักทางการบริหาร
สมรรถนะหลักของนักบริหารระดับสูง หมายถึง กลุ่มของพฤติกรรมทางการบริหารที่ก่อให้เกิดผลการปฏิบัติงานตามเป้าหมายขององค์การ
องค์ประกอบที่สำคัญของสมรรถนะนักบริหารระดับสูง คือ ความสามารถใน ด้านทักษะ ความรู้ และพฤติกรรมของการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับสมรรถนะขององค์การที่ ส่งผลให้องค์การสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ และภารกิจขององค์การได้ โดยทั่วไปสมรรถนะ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. สมรรถนะหลักทางการบริหาร (Executive Core Competencies) ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้ (1) เป็นสมรรถนะที่จำเป็นในทุก ๆ ส่วนขององค์การ และในบุคลากรทุกระดับ (2) สามารถแสดงคุณสมบัติเฉพาะของบุคคล (3) สามารถแยกระดับของผู้มีผลการปฏิบัติงานดี ปานกลาง และสูง ออกจากกัน และ (4) สามารถนำมาพัฒนาให้เป็นสมรรถนะที่ สั่งสมและอยู่กับบุคคล
2. สมรรถนะเฉพาะงาน (Job-related Competencies) มีลักษณะดังนี้ (1) มีความรู้เฉพาะทาง และทักษะในการปฏิบัติงานในหน้าที่หนึ่ง ๆ (2) สามารถพัฒนาได้จากการฝึกอบรมและจากประสบการณ์การทำงาน
สำหรับในราชการไทย จากการศึกษาวิจัยของสำนักงาน ก.พ. ปรากฏว่า
สมรรถนะหลักทางการบริหารของนักบริหารระดับสูง สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ และ 12 ด้าน (สำนักงาน ก.พ. ข้อเสนอโครงการจัดระบบนักบริหารระดับสูงในราชการ พลเรือนไทย หน้า 18-23) ดังนี้
1. ความรอบรู้ในการบริหาร (Business Acumen) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Managing Change) (2) การมีจิตมุ่งบริการ (Customer Service Orientation) และ (3) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning)
2. การบริหารอย่างมืออาชีพ (Professional Management) แบ่งออกเป็น
11
3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การตัดสินใจ (Decision Making) (2) การคิดเชิงกลยุทธ์ (Thinking) และ (3) ความเป็นผู้นำ (Leadership)
3. การบริหารคน (HR Management) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability & Flexibility) (2) ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร (Communication Skills) และ (3) การประสานสัมพันธ์ (Collaborativeness)
4. การบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Result-based Management) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้ (1) การรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Accountability) (2) การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ (Achieving Result) และ (3) การบริหารทรัพยากร (Managing Resources)
2. เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน
เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินสมรรถนะหลักทางการบริหาร เป็นแบบประเมิน
เพื่อใช้ประเมินสมรรถนะหลักทางการบริหาร รวม 12 สมรรถนะ คือ (1) การบริหารการ เปลี่ยนแปลง (Managing Change) (2) การมีจิตมุ่งบริการ (Customer Service Orientation) (3) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning) (4) การตัดสินใจ (Decision Making) (5) การคิดเชิงกลยุทธ์ (Thinking) (6) ความเป็นผู้นำ (Leadership) (7) การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability and Flexibility) (8) ความสามารถและทักษะในการสื่อสาร (Communication Skills) (9) การประสานสัมพันธ์ (Collaborativeness) (10) การรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Accountability) (11) การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ (Achieving Result) และ (12) การบริหารทรัพยากร (Managing Resources)
วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
บอล 5 ลูก
บอล 5 ลูก
หากชีวิตเราเปรียบเสมือนเกมโยนบอล 5 ลูกสลับกันไปในอากาศคล้ายนักเล่นกล
บอลทั้ง 5 เปรียบได้กับ งาน, ครอบครัว, สุขภาพ, เพื่อน และจิตใจ
เราคงต้องบอกว่า งาน นั้นคงต้องเป็นลูกบอลยาง
ซึ่งแม้ว่าเราจะพลาดพลั้งทำตกกี่ครั้งมันก็สามารถที่จะกระเด้งกระดอนกลับมาให้
เรานำกลับมาเล่นต่อได้ แต่บอลอีก 4 ลูกที่เหลือ คือ ครอบครัว สุขภาพ เพื่อน
และจิตใจนั้น เป็นเช่นลูกแก้ว การพลาดพลั้งทำลูกใดลูกหนึ่งตกไปนั้น
แม้เป็นเพียงแค่รอยถลอก รอยตำหนิเล็กๆ รอยหัก แหว่ง หรือแตกละเอียด
ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถแก้ไขให้มันกลับมาเป็นลูกแก้วที่แววใสดังเดิม
ได้
ดังนั้นเราจึงควรระลึกอยู่เสมอว่า.....ชีวิตเราคือ.....การต่อสู้ประคับประคอง
บอลทั้ง 5 ลูกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงให้สมดุลมากที่สุด.....
ทำอย่างไรน่ะหรือ ??
อย่างแรก.....
** จงอย่าประเมินค่าของตัวเองให้ต่ำต้อย
โดยการเปรียบเทียบกับคนอื่น พึงระลึกเสมอว่าเราทุกคนล้วนแตกต่างกัน
และทุกคนก็มีความพิเศษเป็นของตนเองโดยเฉพาะ
อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้ค่า โดยการปล่อยเวลาให้ผ่านไป
** จงคิดว่าทุกๆ วันที่ผ่านพ้นไปคือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
อย่าเพิ่งละความพยายามเมื่อเจอปัญหา **
จงจำไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะจบสิ้นเมื่อคุณทิ้งความพยายามของคุณเอง
อย่ากลัวที่จะยอมรับว่าเราไม่ใช่คนที่สมบูรณ์พร้อมในทุกอย่าง
เพราะการหลงตัวเองจะเปรียบเสมือนผมเส้นบางๆ
ที่บังตาไม่ให้คุณมองเห็นผู้คนรอบข้าง
** จงอย่ากลัวการเสี่ยง
เพราะมันคือโอกาสที่คุณจะได้เรียนรู้ถึงความกล้าหาญ
อย่าทิ้งความรักไปจากชีวิต โดยการบอกว่ามันไม่มีทางที่จะหาพบ
หนทางที่ง่ายที่สุดที่จะได้รับ ...ความรักคือการรู้จักให้
และการรักษาความรักที่ดีที่สุดคือ ...การให้อิสระกับมัน จำไว้ว่า
ยิ่งคุณพยายามไขว่คว้ามันไว้กับตัวคุณมากเท่าไร
มันก็ยิ่งจะจากไปจากคุณได้เร็วเท่านั้น
...อย่าพิจารณาชีวิตของคุณเร็วเกินไป
จนคุณลืมที่จะนึกว่าคุณมาจากที่ไหนและ
... คุณกำลังจะไปที่ใด
พึงตระหนักว่าความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เราต้องการคือ...
ความประทับใจ
** จงอย่ากลัวการรับรู้ หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
ความรู้นั้นไร้น้ำหนัก...แต่เป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่าที่มันจะติดตัวคุณไป
และจะไม่มีใครที่สามารถขโมยมันไปจากคุณได้
** จงใช้เวลาและคารมอย่างระมัดระวัง
เพราะทุกสิ่งที่ผ่านไปจะไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้เหมือนสายน้ำที่ไม่มีวันจะไหล
ย้อนกลับ
** จงรู้ว่า ชีวิตไม่ใช่การแข่งขัน แต่ชีวิตคือ.. การเดินทาง
คือ...การสัมผัสรับรู้ในแต่ละก้าวที่เดินไป
** และสุดท้าย จงจำไว้ว่า ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง
หากชีวิตเราเปรียบเสมือนเกมโยนบอล 5 ลูกสลับกันไปในอากาศคล้ายนักเล่นกล
บอลทั้ง 5 เปรียบได้กับ งาน, ครอบครัว, สุขภาพ, เพื่อน และจิตใจ
เราคงต้องบอกว่า งาน นั้นคงต้องเป็นลูกบอลยาง
ซึ่งแม้ว่าเราจะพลาดพลั้งทำตกกี่ครั้งมันก็สามารถที่จะกระเด้งกระดอนกลับมาให้
เรานำกลับมาเล่นต่อได้ แต่บอลอีก 4 ลูกที่เหลือ คือ ครอบครัว สุขภาพ เพื่อน
และจิตใจนั้น เป็นเช่นลูกแก้ว การพลาดพลั้งทำลูกใดลูกหนึ่งตกไปนั้น
แม้เป็นเพียงแค่รอยถลอก รอยตำหนิเล็กๆ รอยหัก แหว่ง หรือแตกละเอียด
ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถแก้ไขให้มันกลับมาเป็นลูกแก้วที่แววใสดังเดิม
ได้
ดังนั้นเราจึงควรระลึกอยู่เสมอว่า.....ชีวิตเราคือ.....การต่อสู้ประคับประคอง
บอลทั้ง 5 ลูกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงให้สมดุลมากที่สุด.....
ทำอย่างไรน่ะหรือ ??
อย่างแรก.....
** จงอย่าประเมินค่าของตัวเองให้ต่ำต้อย
โดยการเปรียบเทียบกับคนอื่น พึงระลึกเสมอว่าเราทุกคนล้วนแตกต่างกัน
และทุกคนก็มีความพิเศษเป็นของตนเองโดยเฉพาะ
อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้ค่า โดยการปล่อยเวลาให้ผ่านไป
** จงคิดว่าทุกๆ วันที่ผ่านพ้นไปคือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
อย่าเพิ่งละความพยายามเมื่อเจอปัญหา **
จงจำไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะจบสิ้นเมื่อคุณทิ้งความพยายามของคุณเอง
อย่ากลัวที่จะยอมรับว่าเราไม่ใช่คนที่สมบูรณ์พร้อมในทุกอย่าง
เพราะการหลงตัวเองจะเปรียบเสมือนผมเส้นบางๆ
ที่บังตาไม่ให้คุณมองเห็นผู้คนรอบข้าง
** จงอย่ากลัวการเสี่ยง
เพราะมันคือโอกาสที่คุณจะได้เรียนรู้ถึงความกล้าหาญ
อย่าทิ้งความรักไปจากชีวิต โดยการบอกว่ามันไม่มีทางที่จะหาพบ
หนทางที่ง่ายที่สุดที่จะได้รับ ...ความรักคือการรู้จักให้
และการรักษาความรักที่ดีที่สุดคือ ...การให้อิสระกับมัน จำไว้ว่า
ยิ่งคุณพยายามไขว่คว้ามันไว้กับตัวคุณมากเท่าไร
มันก็ยิ่งจะจากไปจากคุณได้เร็วเท่านั้น
...อย่าพิจารณาชีวิตของคุณเร็วเกินไป
จนคุณลืมที่จะนึกว่าคุณมาจากที่ไหนและ
... คุณกำลังจะไปที่ใด
พึงตระหนักว่าความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เราต้องการคือ...
ความประทับใจ
** จงอย่ากลัวการรับรู้ หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
ความรู้นั้นไร้น้ำหนัก...แต่เป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่าที่มันจะติดตัวคุณไป
และจะไม่มีใครที่สามารถขโมยมันไปจากคุณได้
** จงใช้เวลาและคารมอย่างระมัดระวัง
เพราะทุกสิ่งที่ผ่านไปจะไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้เหมือนสายน้ำที่ไม่มีวันจะไหล
ย้อนกลับ
** จงรู้ว่า ชีวิตไม่ใช่การแข่งขัน แต่ชีวิตคือ.. การเดินทาง
คือ...การสัมผัสรับรู้ในแต่ละก้าวที่เดินไป
** และสุดท้าย จงจำไว้ว่า ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552
มาตุคาม
มาตุคาม
พระที่มีชื่อเสียงหลายท่าน ได้ตกเป็นข่าวอื้อฉาว กับสีกา สุดท้ายท่านก็ต้องละพรหมจรรย์ ลาสิกขาบทในที่สุด เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก โดยข้อเท็จจริง ถ้ารวมพระที่ไม่มีชื่อเสียง ที่ต้องลาสิกขาบทไป เพราะสาเหตุกับสีกา แต่ไม่เป็นข่าว ก็มีเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย ในแวดวงผู้ปฏิบัติธรรม ถือว่าการเลิก ลด ละกิเลส เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องยาก ที่ปุถุชนทั่วไปจะทำได้ บางคนทำได้ แต่บางเวลา บางเวลาเผลอไป ทำผิด ทำบาป ชั่วไปแค่ขณะจิตเดียว ทั้งที่ก่อนนี้เฝ้าเพียรประคับประคองจิตมาได้หลายสิบปี ท่านว่าเหมือนการพายเรือทวนกระแสน้ำ พอมาเจอสีกา (คู่กรรม) เกิดปิ๊งขึ้นมา เผลอสติพลาดไป ล่วงอาบัติปาราชิกเสียแล้ว หลวงปู่ชา ท่านบอกว่า จิตเราอยู่ใกล้นรก ใกล้นิพพาน แวบเดียวก็ตกนรก พระที่ปฏิบัติเพียรพยายามมานาน เมื่ออินทรีย์แก่กล้าสุกงอมเต็มที่ แวบเดียวก็นิพพานได้
พระพุทธเจ้า ประณามพระภิกษุที่เสพเมถุนเป็นโมฆะบุรุษ บัญญัติพระวินัย เป็นอาบัติขั้นรุนแรงที่สุดคือปาราชิก คือขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที ตอนศาสนาพุทธไปถึงที่ญี่ปุ่นใหม่ๆ พระก็มีเมียไม่ได้ จนผ่านมาถึงสมัยศตวรรษที่ 12 พระที่เป็นปรมาจารย์เจ้านิกายโยโดชินชู(สุขาวดี) ชื่อท่านชินรันโชนิน(Shinran,พ.ศ.1716-1805) ท่านก็มีเมียทั้งๆที่ใส่จีวรอยู่ แรกๆไม่มีใครยอมรับ เกิดปฏิกิริยาทั่วไป ต่อมาก็เงียบหายไป จนถึงสมัย Meiji ตรงกับเราสมัยรัชกาลที่ 5มีการปฏิรูปการเมือง การปกครอง พระก็ปฏิรูปบ้างโดย พระมีเมียกันทั่วไป ใครๆ ก็รู้ ไม่มีใครกล้าว่า กลายเป็นวัฒนธรรมที่คนญี่ปุ่นยอมรับจนทุกวันนี้
พระภิกษุนิกายเซ็นที่ประเทศญี่ปุ่น ยอมศิโรราบต่อกามคุณ ไม่ต้องมาฝึกจิตใจให้ ลด ละเลิกความอยากในกามรส ยอมรับกันว่าพระมีเมียได้มานานหลายร้อยปี ในวัดก็จะมีกุฏิเจ้าอาวาส อยู่บริเวณที่เป็นสัดส่วน ห้ามใครมายุ่ง ท่านนอนกับเมีย มีลูกมีหลานสืบสกุลมาหลายชั่วคน ถึงเวลาสวดมนต์ เทศน์ให้ญาติโยมฟัง นั่งสมาธิ วิปัสสนา ก็ทำกิจของสงฆ์ไป ตกเย็นก็กลับมานอนกับภรรยาที่กุฏิ (คงต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างแหละ ตามธรรมดาของผัวเมีย) ลูกชายคนโต ก็มักจะบวชตามพ่อ แรกๆก็จาริกไปศึกษาตามวัดต่างๆ พอบารมีแก่กล้าก็มาอยู่วัดที่พ่อเป็นเจ้าอาวาสอยู่ แล้วก็เป็นรองเจ้าอาวาส พอพ่อตายก็เป็นเจ้าอาวาสต่อ เป็นเช่นนี้มานาน ชาวบ้านก็ไม่ว่าอะไร มาทำบุญตามปกติ
ถ้าเป็นเมืองไทย เป็นเรื่องใหญ่ ต้องแจ้งความ เรียกตำรวจ และชาวบ้านมาปิดล้อมกุฏิ ตอนบุกเข้าไป ก็ต้องเอากล้องมาถ่ายรูปเป็นหลักฐาน ไว้ฟ้องเจ้าคณะตำบล ถ่ายรูปคนหัวโล้นแก้ผ้า กำลังนอนกับผู้หญิงเปลือย ลงหนังสือพิมพ์หน้า 1 แล้วก็ไปสัมภาษณ์เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ ว่าสึกหรือยัง ยอมสึกหรือไม่ หนังสือพิมพ์ก็ขายดี มีคนแก้ผ้าลงปกหน้า 1 ไม่ต้องเสียเงินค่านายแบบ นางแบบ ข่าวแบบนี้ดูจนเบื่อ แต่พอมีอีก คนก็ยังชอบดู ข่าวก็ยังขายได้
ท่านอาจารย์เสถียร โพธินันทะถือว่าพระญี่ปุ่นไม่ใช่พระภิกษุในความหมายที่ชาวพุทธในประเทศไทยเข้าใจกัน แต่เป็นแค่เพียงอุบาสกเท่านั้น ความเป็นจริงไม่มีพระภิกษุในญี่ปุ่นมานานหลายร้อยปีแล้ว (ตั้งแต่ที่มีเมียกันนั่นแหละ คือปาราชิกกันหมดแล้ว) จะแต่งตัวโกนหัวกันอย่างไรก็ไม่ใช่พระ ก็มีฐานะเป็นแค่อุบาสกที่ศรัทธาในพระศาสนา ปฏิบัติกิจในเรื่องบางอย่างที่เป็นของสงฆ์ เช่นศึกษา เผยแพร่ธรรมะให้กับประชาชน ก็ถือว่าเป็นการสืบอายุพระศาสนาทางหนึ่ง ยังดีกว่าในประเทศอินเดีย เมืองต้นกำเนิดของศาสนาพุทธ ที่แทบไม่มีใครกล่าวถึงคำสอนของศาสนาพุทธกันแล้ว บางท่านว่า “พระ” ญี่ปุ่นยังศึกษาธรรม มากกว่าพระไทยจำนวนไม่ใช่น้อย และการที่ “พระ”ญี่ปุ่นเป็นแค่อุบาสก ก็ไม่ใช่ห้ามมรรคผล แม้แต่นางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านบรรลุธรรมขั้นโสดาบันตั้งแต่อายุได้เพียง 7 ขวบ ตามประวัติ ท่านก็แต่งงานมีลูกหลานมากมาย ลูกหลานตายก็เสียใจ ร้องห่มร้องไห้เช่นคนทั่วไป
พระไทยที่เสพกามท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์หลังถูกจับสึกแล้วว่า ท่านไม่ผิดหรอกเพราะ ก่อนร่วมเพศ อาตมาขออธิษฐานสึกเป็นฆารวาสแล้ว เสร็จกิจแล้วก็อธิษฐานบวชใหม่ โดยสรุปอาตมาก็ไม่ผิดเพราะขณะเป็นพระก็ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ มีเฉพาะตอนเป็นเพศฆารวาส อาจเรียกพระกลุ่มนี้ได้ว่าเป็นพระเวลากลางวัน กลางคืนเป็นฆารวาส เช้าบวชเย็นสึกทุกวัน
การมีเพศสัมพันธ์ถือเป็นกิจกรรมตามธรรมชาติของสัตว์โลกทั้งหลายรวมทั้งคนด้วย เช่นเดียวกับ การกิน การถ่ายอุจจาระปัสสาวะ การนอนหลับ ธรรมชาติกำหนดให้มีเพื่อสืบพันธ์ เกิดการผสมกันของ DNA ของสัตว์ เกิดลูกหลานที่แข็งแรงขึ้น ตัวที่อ่อนแอ จะสืบพันธ์ยาก และสูญพันธ์ในที่สุด ตัวที่แข็งแรงก็จะสืบพันธ์ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับการสืบพันธ์คือ ความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ หรือ อาจเรียกว่ารสชาติในการสืบพันธ์ หรือกามรส กามรสนี้ ท่านอาจารย์พุทธทาสสอนว่า เป็นรางวัลที่ธรรมชาติให้กับสัตว์โลกเพื่อให้มันสืบพันธ์ ไม่เช่นนั้นสัตว์โลกจะไม่ยอมสืบพันธ์กัน ระยะหลังเทคโนโลยี่การเจริญพันธ์ก้าวหน้า มีการคุมกำเนิดหลายวิธี คนเราส่วนใหญ่ก็เสพกามรสกันได้อย่างเต็มที่ โดยไม่เกี่ยวกับการสืบพันธ์แต่อย่างไร เกิดมีธุรกิจค้ากาม ทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ เป็นมูลค่านับแสนๆล้านบาทต่อปี เกิดการเอาเปรียบทางเพศ ค้าผู้หญิง ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจนอกกฎหมาย เป็นธุรกิจเก่าแก่มีมานมนานหลายพันปี เกิดการระบาดของกามโรคและโรคเอดส์
เมื่อมนุษย์เสพกามแล้ว ก็ติดใจ เกิดการพัฒนาเป็นกามศาสตร์ เกิดศิลปกรรม รูปปั้น ภาพวาด ภาพแกะสลัก ภาพถ่าย ที่สะท้อนถ่ายทอดความรู้สึกของเขาเหล่านั้น การเสพกามสามารถมีท่าทางพลิกเพลงได้ร้อยแปดประการ เสพได้ทุกเวลา ทุกฤดูกาล ทุกสถานที่ ว่ากันว่า ยานอวกาศที่โคจรนอกโลก มนุษย์อวกาศ ก็ขึ้นไปทดลองเสพกามกันมาแล้วถือเป็นงานวิจัยอันหนึ่ง การไปฮันนี่มูนบนยานอวกาศคงได้ดูข่าวกันในอีกไม่นาน
จากประวัติพระเกจิอาจารย์ที่ปฏิบัติธรรม จนประสบความสำเร็จในการละกิเลสโดยสิ้นเชิง หลายท่าน จนเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไปและท่านก็ได้มรณภาพแล้ว ได้บรรยายเล่าประสบการณ์การเอาชนะกิเลสให้ลูกศิษย์ฟัง ในการต่อสู้กับกิเลสกาม ว่าเป็นเรื่องที่ดุเดือด แหลมคม อันตรายมาก บางท่านผ่านด่านนี้มาได้อย่างหวุดหวิด เรียกว่า เกือบ “เสร็จ” มาตุคาม (หมายถึงเพศหญิง ทางกลับกันถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมหญิง มาตุคามก็เปลี่ยนเป็นบุรุษ ผู้หญิงก็ฝ่าด่านบุรุษยากไม่แพ้กัน) ไปแล้ว
บางตัวอย่างที่เล่ากันมาได้แก่
“เดินจงกรมอยู่ อวัยวะเพศแกว่ง ไปเสียดสีกับจีวร ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวชี้ชัน ยิ่งเดินยิ่งเสียดสี ยิ่งแข็ง ต้องยกจีวรขึ้นไว้ที่เอว ไม่ให้เสียดสี จากนั้นจึงค่อยๆหดตัวลง”
“ระหว่างนั่งสมาธิ ก็เห็นนิมิตเป็นรูปอวัยวะเพศหญิง วนเวียนรอบๆตัว
“ระหว่างบิณฑบาต สีกาที่ตักข้าวใส่บาตรพระเรียบร้อยแล้ว กลับเปิดผ้าถุงให้พระดูอวัยวะเพศ ท่านต้องรีบ ธุดงค์หนีไปที่อื่นทันที”
“สีกา มาถวายอาหารที่กุฎิทุกวัน เล่นหู เล่นตากับพระ”
“ก่อนบวชเคยไปงานศพเพื่อนคนหนึ่ง ปรากฏว่าตกกลางคืน ภรรยาเพื่อนที่พึ่งเป็นหม้ายแก้ผ้าเข้ามานอนข้างๆ “
เป็นพระไทย ถ้าพลาดในเรื่องนี้ ก็ต้องประสบกับหายนะ(Disaster) ตามข่าวที่เกิด บางคนไม่เข้าใจ หาว่าพระตั้งกฎเกณฑ์รังเกียจสตรีเพศ เช่นตรงนี้ ผู้ชายขึ้นมาได้ ผู้หญิงห้ามขึ้น เป็นการกดขี่ทางเพศ เอาเปรียบผู้หญิง ที่จริงแล้ว พระมีกฎเกณฑ์เพื่อปกป้องพรหมจรรย์ของพระที่ยังละกิเลสไม่ได้ แม้กระนั้น ขนาดนี้ พระก็ยัง “ถูกสิงโตกิน” ไปเสียมิใช่น้อยเลย
พระพุทธองค์ทราบดีถึงอันตรายของมาตุคาม ท่านตรัสเตือนสติ ภิกษุสาวกเกี่ยวกับการคลุกคลีในสกุลเกินควร ว่ามีโทษถึง 5 ขั้นตอน กล่าวคือ
ทำให้ต้องเห็นมาตุคามเนืองๆ๑
เมื่อมีการเห็น ย่อมมีการเกี่ยวข้อง๑
เมื่อมีการเกี่ยวข้อง ย่อมมีการคุ้นเคย๑
เมื่อมีการคุ้นเคย ย่อมมีจิตจดจ่อ๑
เมื่อมีจิตจดจ่อแล้ว พึงหวังผลคือเธอไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ จักต้องอาบัติเศร้าหมอง หรือจักบอกคืนสิกขาลาเพศ๑
พระอานนท์ ถามพระพุทธเจ้าถึงข้อปฏิบัติในมาตุคาม พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า
“การไม่เห็น อานนท์”
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อการเห็นมีอยู่ จะพึงปฏิบัติอย่างไร
“การไม่เจรจา…อานนท์”
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อต้องเจรจา จะพึงปฏิบัติอย่างไร
“พึงตั้งสติไว้…อานนท์” (ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม 10)
ในปัจจุบันกลุ่มคนที่เข้าวัดอุปัฏฐากพระ พบว่ากว่า 80 % เป็นผู้หญิงทั้งนั้น ทำอาหารถวาย จัดทำของเครื่องใช้ที่จำเป็นแก่พระ แม้แต่การทำบุญด้วยเงิน ผู้หญิงก็มีจำนวนมากกว่าชายมาก การเห็นกันทุกวัน การใกล้ชิดช่วยเหลือรับใช้กัน เป็นปัจจัยที่มีพลังมาก การเห็นหมอผู้ชาย แต่งงานกับพยาบาลมากมาย จึงเป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับพระ มีสีกามาใกล้ชิด
ถ้าไม่นับคนที่มาปลอมบวชหรือมาบวชเพื่อหวังลาภสักการะ คนที่ตั้งใจมาบวชเพื่อละเลิกกิเลสจริงๆแล้วพลาดไป แล้วล้มเหลวในชีวิต อย่างสิ้นเชิง เป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก ไม่ควรซ้ำเติม เป็นเรื่องน่าให้อภัยอย่างยิ่ง ไม่ควรประจานต่อสาธารณะ และเหตุการณ์เหล่านี้สอนให้รู้ว่า การทำความดี ลดละเลิกกิเลส ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เป็นงานหนักที่แม้ชั่วชีวิตนี้ ก็คงไม่แล้วเสร็จง่ายๆเลยทีเดียว.
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๔
วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เดล คาร์เนกี
เดล คาร์เนกี
( ตาย 1 พย 2498 อายุ 67 ปี)
เขียนหนังสือ 7 เล่ม
1.วิธีชนะมิตร และจูงใจคน
2.วิธีชนะทุกข์และสร้างสุข
3.ลิงคอล์น มหาบุรุษ
4.ชีวิตพิศดารของบุคคลเรืองนาม
5.ชีวประวัติห้านาที
6.ชุมนุมชีวประวัติ
7.การพูดในที่ชุมนุม
( ตาย 1 พย 2498 อายุ 67 ปี)
เขียนหนังสือ 7 เล่ม
1.วิธีชนะมิตร และจูงใจคน
2.วิธีชนะทุกข์และสร้างสุข
3.ลิงคอล์น มหาบุรุษ
4.ชีวิตพิศดารของบุคคลเรืองนาม
5.ชีวประวัติห้านาที
6.ชุมนุมชีวประวัติ
7.การพูดในที่ชุมนุม
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Where are we?
ในปัจจุบัน เวลาจ่าหน้าซองถึงตัวเองเขียนว่า
กรุณาส่ง
นาย Saturn Boon
บ้านเลขที่ 00 ถนน bbbbb
อำเภอaaaa จังหวัดbbbb
รหัสไปรษณีย์ 00000
ก็ถึงแล้ว ถ้าส่งจากต่างประเทศ ก็ต้องมี Thailand ด้วย
ถ้าจะให้ เวอร์ ๆ แปลกๆ เพี้ยนๆทันความรู้ปัจจุบัน(Update) ทางดาราศาสตร์หน่อยก็ให้จ่าหน้าซองว่า
นายSaturn Boon
บ้านเลขที่ oo ถนนooooooo
อำเภอoooo จังหวัดooooo
รหัสไปรษณีย์ ooooo Thailand
SouthEastAsia region Asia Continent
โลก Earth สุริยจักรวาล(Solar system)
แขนออไรน์(นายพราน) ทางช้างเผือก(Milky way galaxy)
กระจุกดาราจักรประจำถิ่น (The Local Cluster of Galaxy)
มหากระจุกดาราจักรเวอร์โก้ (Virgo Supercluster)
ราวสี่ร้อย ปีก่อนหน้าน้ี้ (ค.ศ.1610) นพ.กาลิเลโอ กาลิเลอิ เพิ่ง ถูกประมุขของศาสนาหนึ่ง จับขังคุก จนตายในคุก ฐาน เชื่อและ สอนคนทั้งหลายให้เชื่อว่าโลกกลม โลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ตามคัมภีร์หลัก คำสอนของศาสนานั้น ดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ไม่ใช่โลก ปัจจุบันน้ี้ กล้องโทรทัศน์อวกาศ ฮับเบิ้น เปิดโลกความรู้ในจักรวาลอันกว้างใหญ่หาที่สุดมิได้ออกมาให้ชาวโลกเห็น ว่า เราอยู่ตรงไหน อยู่อย่างไรในอวกาศ
ทางช้างเผือกที่โบราณ ว่าเป็นทางน้ำนม(Milky Way) ของสรวงสวรรค์นั้นหรือทางช้างเผือกที่ โกโบริ กับอังสุมาลิน อยากจะไปเกิดพบกันในชาติหน้านั้นกลายเป็นหมู่ดาวที่อยู่รวมกันหลายล้านๆๆๆดวง มีความยาวจากปลายหนึ่งถึงอีกปลายหนึ่ง ถึง 100,000 ปีแสง
ฝ้าขาวๆบนท้องฟ้า และดวงดาว กลายเป็นกาแลคซี่ อื่นๆแบบทางช้างเผือกอีก นับไม่ถ้วน
ล้านๆๆๆกาแลคซี่ กาแลคซี่ข้างเคียงเรา ชื่อ แอนโดรมีดา อยู่ห่างจากเราเพียง 2.2 ล้านปีแสง
กำลังเคลื่อนตัวเข้าหา กาแลคซี่ของเรา ด้วยความเร็ว 140 กมต่อวินาที นักดาราศาสตร์คำนวณแล้ว อีกประมาณ 3000 ล้านปี จะชนกับกาแลคซี่ทางช้างเผือก จะใช้เวลาชนกัน ประมาณ 1300 ล้านปี
จากนั้นก็จะรวมกันเป็น กาแลคซี่เดียวกัน เราจะเห็นมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราหนังเหนียวเป็นอมตะ
(อยู่ในพรหมโลก) เวลาท่ี่มาชนกัน จะเห็นเป็นทางสว่างพาดข้ามขอบฟ้า เห็นชัดเจนแม้ในเวลากลางวัน แต่เสียใจด้วย อดดู ต้องไปหาโลกอื่นดู เพราะ ในเวลานั้น ดวงอาทิตย์เรา หมดอายุไขแล้ว กำลังจะดับ ซึ่งจะพองขึ้นเรื่อยๆ กลืนดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวโลก ดาวอังคารไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากชนกัน แต่งงานกันเป็น กาแลคซี่เดียวกันแล้ว หลุมดำ Blackholeที่ใจกลางกาแลคซีทางช้างเผือก จะ Upgrade ตัวเองเป็น Active Galaxy เขาแปลว่า ดาราจักรกัมมันตะ ใจกลางของมัน จะ Upgrade ตัวเองเป็น Supermassive blackhole ซึ่งเปล่งพลังงานมหาศาลออกมา เรียกว่า ควอซ่า (Quazar)และ เบลซ่า (Blazar)
Quazar ปล่อยพลังงาน หนึ่งร้อยล้านอีเลคตรอนโวลท์
Blazar ปล่อยพลังงาน หนึ่งล้านล้านอีเลคตรอนโวลท์
รอบๆหลุมดำ Supermassive จะมี Accretion disk(จานรวมมวล) ขนาด 4-6 ชั่วโมงแสง เชื่อว่าเป็นกระจุกดาวที่อัดแน่นกันมากมหาศาล กำลังถูกดูดเข้าไปในหลุมดำนั้น
นักบินอวกาศ ที่โคจรรอบโลก จะเห็นโลกของเรา สวยงามเป็นสีน้ำเงิน (Blue planet) เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นมหาสมุทร ส่วนที่เป็นสีน้ำตาลก็เป็นพื้นดิน มีเมฆขาวๆกระจายทั่วไป
ณ ที่แห่งนี้ที่เราอาศัย กิน อยู่หลับนอนทำกิจกรรม กันมากมาย มานานหลายล้านปี ดิ้นรน ต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ เข่นฆ่ากันในรูปแบบต่างๆ ทั้งฆ่ากันจริงๆในสงคราม และเบียดเบียนกันในรูปแบบของระบบเศรษฐกิจต่างๆ คนที่แพ้ ต้องยอมตนเป็นหนี้ เป็นทาส สูญเสีย ลูกเมียไปเป็นโสเภณี คนที่ชนะ ก็ตกเป็นทาสกิเลส กามตัณหา ก็พยายามขวนขวาย หาทรัพย์ ทั้งทางที่ถูก และทางที่ผิด อย่างไม่มีวันพอ ไม่มีวันสิ้นสุด แน่ละก็ไม่พ้นต้องเบียดเบียน คนอื่น ,สังคม, โลก เพื่อให้ตนเอง ครอบครัว พวกพ้องได้เสวยกามสุขเหล่านี้ ไปจนกว่าจะตาย
นักอุตุนิยม ก็บอกว่าโลกเราร้อนขึ้นทุกวัน เพราะมีการเผาผลาญพลังงานกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในอัตรานี้ อีก 50 ปีน้ำมันหมดโลกแน่นอน ไอแซค อซิมอฟ นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังท่านหนึ่ง ท่านทำนายว่ามนุษย์เราต้องอพยพไปอยู่โลกอื่นเนื่องจาก โลกนี้จะถูกปกคลุมด้วยกัมมันตภาพรังสี ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดจะอยู่ได้ จะเกิดจากใครได้ละ ถ้าไม่ใช่พวกที่มีอาวุธปรมาณูทั้งหลาย ในทุกวันนี้
เห็นเด็กๆเกิดขึ้นทุกวัน ก็รู้สึกสงสาร คนรุ่นเราก็กำลังทำลายสภาพแวดล้อมอย่างหนัก ให้ คนรุ่นลูกเราอยู่ลำบาก ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนต้องการมากๆ ต้องการเสพกามให้เลิศกว่าใคร ไม่ยอมแพ้ใคร Self–oriented . Not Earth,social-oriented.
กรุณาส่ง
นาย Saturn Boon
บ้านเลขที่ 00 ถนน bbbbb
อำเภอaaaa จังหวัดbbbb
รหัสไปรษณีย์ 00000
ก็ถึงแล้ว ถ้าส่งจากต่างประเทศ ก็ต้องมี Thailand ด้วย
ถ้าจะให้ เวอร์ ๆ แปลกๆ เพี้ยนๆทันความรู้ปัจจุบัน(Update) ทางดาราศาสตร์หน่อยก็ให้จ่าหน้าซองว่า
นายSaturn Boon
บ้านเลขที่ oo ถนนooooooo
อำเภอoooo จังหวัดooooo
รหัสไปรษณีย์ ooooo Thailand
SouthEastAsia region Asia Continent
โลก Earth สุริยจักรวาล(Solar system)
แขนออไรน์(นายพราน) ทางช้างเผือก(Milky way galaxy)
กระจุกดาราจักรประจำถิ่น (The Local Cluster of Galaxy)
มหากระจุกดาราจักรเวอร์โก้ (Virgo Supercluster)
ราวสี่ร้อย ปีก่อนหน้าน้ี้ (ค.ศ.1610) นพ.กาลิเลโอ กาลิเลอิ เพิ่ง ถูกประมุขของศาสนาหนึ่ง จับขังคุก จนตายในคุก ฐาน เชื่อและ สอนคนทั้งหลายให้เชื่อว่าโลกกลม โลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ตามคัมภีร์หลัก คำสอนของศาสนานั้น ดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ไม่ใช่โลก ปัจจุบันน้ี้ กล้องโทรทัศน์อวกาศ ฮับเบิ้น เปิดโลกความรู้ในจักรวาลอันกว้างใหญ่หาที่สุดมิได้ออกมาให้ชาวโลกเห็น ว่า เราอยู่ตรงไหน อยู่อย่างไรในอวกาศ
ทางช้างเผือกที่โบราณ ว่าเป็นทางน้ำนม(Milky Way) ของสรวงสวรรค์นั้นหรือทางช้างเผือกที่ โกโบริ กับอังสุมาลิน อยากจะไปเกิดพบกันในชาติหน้านั้นกลายเป็นหมู่ดาวที่อยู่รวมกันหลายล้านๆๆๆดวง มีความยาวจากปลายหนึ่งถึงอีกปลายหนึ่ง ถึง 100,000 ปีแสง
ฝ้าขาวๆบนท้องฟ้า และดวงดาว กลายเป็นกาแลคซี่ อื่นๆแบบทางช้างเผือกอีก นับไม่ถ้วน
ล้านๆๆๆกาแลคซี่ กาแลคซี่ข้างเคียงเรา ชื่อ แอนโดรมีดา อยู่ห่างจากเราเพียง 2.2 ล้านปีแสง
กำลังเคลื่อนตัวเข้าหา กาแลคซี่ของเรา ด้วยความเร็ว 140 กมต่อวินาที นักดาราศาสตร์คำนวณแล้ว อีกประมาณ 3000 ล้านปี จะชนกับกาแลคซี่ทางช้างเผือก จะใช้เวลาชนกัน ประมาณ 1300 ล้านปี
จากนั้นก็จะรวมกันเป็น กาแลคซี่เดียวกัน เราจะเห็นมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราหนังเหนียวเป็นอมตะ
(อยู่ในพรหมโลก) เวลาท่ี่มาชนกัน จะเห็นเป็นทางสว่างพาดข้ามขอบฟ้า เห็นชัดเจนแม้ในเวลากลางวัน แต่เสียใจด้วย อดดู ต้องไปหาโลกอื่นดู เพราะ ในเวลานั้น ดวงอาทิตย์เรา หมดอายุไขแล้ว กำลังจะดับ ซึ่งจะพองขึ้นเรื่อยๆ กลืนดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวโลก ดาวอังคารไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากชนกัน แต่งงานกันเป็น กาแลคซี่เดียวกันแล้ว หลุมดำ Blackholeที่ใจกลางกาแลคซีทางช้างเผือก จะ Upgrade ตัวเองเป็น Active Galaxy เขาแปลว่า ดาราจักรกัมมันตะ ใจกลางของมัน จะ Upgrade ตัวเองเป็น Supermassive blackhole ซึ่งเปล่งพลังงานมหาศาลออกมา เรียกว่า ควอซ่า (Quazar)และ เบลซ่า (Blazar)
Quazar ปล่อยพลังงาน หนึ่งร้อยล้านอีเลคตรอนโวลท์
Blazar ปล่อยพลังงาน หนึ่งล้านล้านอีเลคตรอนโวลท์
รอบๆหลุมดำ Supermassive จะมี Accretion disk(จานรวมมวล) ขนาด 4-6 ชั่วโมงแสง เชื่อว่าเป็นกระจุกดาวที่อัดแน่นกันมากมหาศาล กำลังถูกดูดเข้าไปในหลุมดำนั้น
นักบินอวกาศ ที่โคจรรอบโลก จะเห็นโลกของเรา สวยงามเป็นสีน้ำเงิน (Blue planet) เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นมหาสมุทร ส่วนที่เป็นสีน้ำตาลก็เป็นพื้นดิน มีเมฆขาวๆกระจายทั่วไป
ณ ที่แห่งนี้ที่เราอาศัย กิน อยู่หลับนอนทำกิจกรรม กันมากมาย มานานหลายล้านปี ดิ้นรน ต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ เข่นฆ่ากันในรูปแบบต่างๆ ทั้งฆ่ากันจริงๆในสงคราม และเบียดเบียนกันในรูปแบบของระบบเศรษฐกิจต่างๆ คนที่แพ้ ต้องยอมตนเป็นหนี้ เป็นทาส สูญเสีย ลูกเมียไปเป็นโสเภณี คนที่ชนะ ก็ตกเป็นทาสกิเลส กามตัณหา ก็พยายามขวนขวาย หาทรัพย์ ทั้งทางที่ถูก และทางที่ผิด อย่างไม่มีวันพอ ไม่มีวันสิ้นสุด แน่ละก็ไม่พ้นต้องเบียดเบียน คนอื่น ,สังคม, โลก เพื่อให้ตนเอง ครอบครัว พวกพ้องได้เสวยกามสุขเหล่านี้ ไปจนกว่าจะตาย
นักอุตุนิยม ก็บอกว่าโลกเราร้อนขึ้นทุกวัน เพราะมีการเผาผลาญพลังงานกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในอัตรานี้ อีก 50 ปีน้ำมันหมดโลกแน่นอน ไอแซค อซิมอฟ นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังท่านหนึ่ง ท่านทำนายว่ามนุษย์เราต้องอพยพไปอยู่โลกอื่นเนื่องจาก โลกนี้จะถูกปกคลุมด้วยกัมมันตภาพรังสี ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดจะอยู่ได้ จะเกิดจากใครได้ละ ถ้าไม่ใช่พวกที่มีอาวุธปรมาณูทั้งหลาย ในทุกวันนี้
เห็นเด็กๆเกิดขึ้นทุกวัน ก็รู้สึกสงสาร คนรุ่นเราก็กำลังทำลายสภาพแวดล้อมอย่างหนัก ให้ คนรุ่นลูกเราอยู่ลำบาก ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนต้องการมากๆ ต้องการเสพกามให้เลิศกว่าใคร ไม่ยอมแพ้ใคร Self–oriented . Not Earth,social-oriented.
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552
นโยบายผู้ตรวจราชการกระทรวง เขต ๔เรื่องจริยธรรม
นโยบายผู้ตรวจราชการกระทรวง เขต ๔
แพทย์หญิง วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ
เรื่องจริยธรรม
"จริยธรรมเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เป็นเรื่องใหญ่
เป็นคุณธรรมพื้นฐาน ที่เจ้าหน้าที่ สาธารณสุขทุกคนต้องมี
เพราะ ประชาชนไว้ใจให้เราทำอะไรกับร่างกายเขาได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
จะต้องนำมาใช้ปฏิบัติในการทำงานในชีวิตประจำวันได้เป็นรูปธรรม
มีตัวอย่างสิ่งที่สะท้อนถึง จริยธรรมพื้นฐานที่ไม่ได้นำมาปฏิบัติ
เช่นการที่ หนังสือพิมพ์ ถ่ายรูปตีพิมพ์ภาพผู้ป่วยที่อยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสม
ปรากฎออกไปในที่สาธารณะ ผู้ป่วยทุกคน มีศักดิ์ศรียามที่เขาปกติ
เขามีภาพลักษณ์ที่ออกสู่สาธารณะอย่างสมฐานะ แต่เรากลับปล่อยให้มีการถ่ายภาพเขา
ในสภาพนั้นออกไปได้อย่างไร
อีกตัวอย่างหนึ่ง
มาจากเรื่องร้องเรียน ผู้ป่วยมาหาด้วยเรื่องบาดเจ็บ มีเลือดออกไหลตลอดเวลา
แทนที่จะรีบจัดการดูแลให้เขา กลับบอกว่าให้นั่งรอก่อน จะไปรับประทานอาหารเที่ยงก่อน
เสร็จแล้วจึงจะมาดูให้ อย่างนี้ เป็นปัญหาเรื่องจริยธรรม ที่ไม่มี หรือมีแต่ไม่นำมาปฏิบัติ
คุณธรรมของกระทรวงสาธารณสุข ต้องการให้ประชาชน อยู่กันอย่างมีความสุข
เป็นสังคมแห่งความสุขให้พวกเราทุกคนช่วยกัน"
(ความตอนหนึ่ง จากคำกล่าวในพิธีเปิดการประชุม วิชาการ ชมรมจริยธรรม เขต ๔
ที่โรงแรม อู่ทอง แกรนด์ จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๒)
แพทย์หญิง วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ
เรื่องจริยธรรม
"จริยธรรมเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เป็นเรื่องใหญ่
เป็นคุณธรรมพื้นฐาน ที่เจ้าหน้าที่ สาธารณสุขทุกคนต้องมี
เพราะ ประชาชนไว้ใจให้เราทำอะไรกับร่างกายเขาได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
จะต้องนำมาใช้ปฏิบัติในการทำงานในชีวิตประจำวันได้เป็นรูปธรรม
มีตัวอย่างสิ่งที่สะท้อนถึง จริยธรรมพื้นฐานที่ไม่ได้นำมาปฏิบัติ
เช่นการที่ หนังสือพิมพ์ ถ่ายรูปตีพิมพ์ภาพผู้ป่วยที่อยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสม
ปรากฎออกไปในที่สาธารณะ ผู้ป่วยทุกคน มีศักดิ์ศรียามที่เขาปกติ
เขามีภาพลักษณ์ที่ออกสู่สาธารณะอย่างสมฐานะ แต่เรากลับปล่อยให้มีการถ่ายภาพเขา
ในสภาพนั้นออกไปได้อย่างไร
อีกตัวอย่างหนึ่ง
มาจากเรื่องร้องเรียน ผู้ป่วยมาหาด้วยเรื่องบาดเจ็บ มีเลือดออกไหลตลอดเวลา
แทนที่จะรีบจัดการดูแลให้เขา กลับบอกว่าให้นั่งรอก่อน จะไปรับประทานอาหารเที่ยงก่อน
เสร็จแล้วจึงจะมาดูให้ อย่างนี้ เป็นปัญหาเรื่องจริยธรรม ที่ไม่มี หรือมีแต่ไม่นำมาปฏิบัติ
คุณธรรมของกระทรวงสาธารณสุข ต้องการให้ประชาชน อยู่กันอย่างมีความสุข
เป็นสังคมแห่งความสุขให้พวกเราทุกคนช่วยกัน"
(ความตอนหนึ่ง จากคำกล่าวในพิธีเปิดการประชุม วิชาการ ชมรมจริยธรรม เขต ๔
ที่โรงแรม อู่ทอง แกรนด์ จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๒)
วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ศิลปในการพูดโทรศัพท์
ศิลปในการพูดโทรศัพท์
(จากเอกสารขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย)
-ควรพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ชัดเจน นุ่มนวล แสดงถึงความสุภาพ และมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกล่าวประโยคแรก ควรแจ้งข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน
-ไม่พูดเร็วหรือช้า ดัง หรือเบาเกินไป
-ใช้ถ้อยคำที่สุภาพและเหมาะสม เลือกสรรคำพูดจำเป็นมาใช้ให้ติดปาก เช่นขออภัย ขอโทษ ขอบคุณ สวัสดี ฯลฯ
-ขณะใช้โทรศัพท์ควรฝึกอารมณ์ให้สงบ ร่าเริง มีความอดทน
-ไม่ควรผูกขาดการพูดแต่ฝ่ายเดียว
-เป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ขัดจังหวะและควรตอบรับ(ครับ/ค่ะ)เป็นระยะๆ เพื่อแสดงความสนใจในเรื่องที่อีกฝ่ายหนึ่งกำลังพูด
-ตัดบทจบการพูดอย่างนุ่มนวล ในเวลาอันสมควรโดยย้ำเรื่องที่ติดต่อด้วยข้อความสั้นๆ
-ยิ้มให้เครื่องโทรศัพท์เหมือนยิ้มให้บุคคลที่เราพูดคุยด้วย ควรสร้างความรู้สึกว่ามีผู้ฟังมาฟังอยู่ตรงหน้า
-รับโทรศัพท์ด้วยคำว่า ‘สวัสดี’ แทน ‘ฮัลโหล’
-กล่าวคำ’ขอโทษ’ ทุกครั้งที่ต่อผิด
-ผู้รับควรวางหูทีหลัง
-วางหูอย่างนิ่มนวล ควรแน่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งเลิกพูดแล้ว
ข้อพึงหลีกเลี่ยง
-ไม่ควรวางหูกลางคันก่อนจบการพูด และอย่าปล่อยให้ผู้เรียกต้องคอยนาน
-ไม่อมหรือขบเคี้ยวสิ่งใดขณะพูดโทรศัพท์ และพยายามอย่าให้เสียงอื่นเข้ามาแทรกหรือรบกวน
-ไม่ล้อเลียน เยาะเย้ยผู้ที่ติดต่อมา ไม่โกรธง่าย ไม่แสดงคำพูดหรืออารมณ์ที่ไม่สุภาพในขณะรับโทรศัพท์
-ไม่ควรใช้โทรศัพท์พูดกิจธุระส่วนตัวเป็นเวลานาน หากต้องใช้ร่วมกับผู้อื่น
-อย่าปล่อยให้มีเสียงโทรศัพท์เรียกนานจนเป็นที่น่ารำคาญ ควรเอื้อเฟื้อรับโทรศัพท์แทนผู้อื่น
(จากเอกสารขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย)
-ควรพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ชัดเจน นุ่มนวล แสดงถึงความสุภาพ และมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกล่าวประโยคแรก ควรแจ้งข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน
-ไม่พูดเร็วหรือช้า ดัง หรือเบาเกินไป
-ใช้ถ้อยคำที่สุภาพและเหมาะสม เลือกสรรคำพูดจำเป็นมาใช้ให้ติดปาก เช่นขออภัย ขอโทษ ขอบคุณ สวัสดี ฯลฯ
-ขณะใช้โทรศัพท์ควรฝึกอารมณ์ให้สงบ ร่าเริง มีความอดทน
-ไม่ควรผูกขาดการพูดแต่ฝ่ายเดียว
-เป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ขัดจังหวะและควรตอบรับ(ครับ/ค่ะ)เป็นระยะๆ เพื่อแสดงความสนใจในเรื่องที่อีกฝ่ายหนึ่งกำลังพูด
-ตัดบทจบการพูดอย่างนุ่มนวล ในเวลาอันสมควรโดยย้ำเรื่องที่ติดต่อด้วยข้อความสั้นๆ
-ยิ้มให้เครื่องโทรศัพท์เหมือนยิ้มให้บุคคลที่เราพูดคุยด้วย ควรสร้างความรู้สึกว่ามีผู้ฟังมาฟังอยู่ตรงหน้า
-รับโทรศัพท์ด้วยคำว่า ‘สวัสดี’ แทน ‘ฮัลโหล’
-กล่าวคำ’ขอโทษ’ ทุกครั้งที่ต่อผิด
-ผู้รับควรวางหูทีหลัง
-วางหูอย่างนิ่มนวล ควรแน่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งเลิกพูดแล้ว
ข้อพึงหลีกเลี่ยง
-ไม่ควรวางหูกลางคันก่อนจบการพูด และอย่าปล่อยให้ผู้เรียกต้องคอยนาน
-ไม่อมหรือขบเคี้ยวสิ่งใดขณะพูดโทรศัพท์ และพยายามอย่าให้เสียงอื่นเข้ามาแทรกหรือรบกวน
-ไม่ล้อเลียน เยาะเย้ยผู้ที่ติดต่อมา ไม่โกรธง่าย ไม่แสดงคำพูดหรืออารมณ์ที่ไม่สุภาพในขณะรับโทรศัพท์
-ไม่ควรใช้โทรศัพท์พูดกิจธุระส่วนตัวเป็นเวลานาน หากต้องใช้ร่วมกับผู้อื่น
-อย่าปล่อยให้มีเสียงโทรศัพท์เรียกนานจนเป็นที่น่ารำคาญ ควรเอื้อเฟื้อรับโทรศัพท์แทนผู้อื่น
จีนอัปลักษณ์
จีนอัปลักษณ์
นำใจความมาจากหนังสือเรื่องจีนอัปลักษณ์ ไป๋เอี๋ยง ผู้ประพันธ์ ส.สุวรรณ ผู้แปล
เรื่องนี้ตีพิมพ์ได้ทั้งในไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่ หลายสิบครั้ง จึงไม่ใช่หนังสือต้องห้ามแต่อย่างไร ปกติคนจีนจะเป็นคนที่ขี้โม้โอ้อวด แต่มองไม่เห็นความบกพร่อง ความไม่ดีของตนเอง ใครมาจี้จุดบอดนี้ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่รักชาติจีน เป็นคนที่ทรยศต่อพวกเดียวกัน ดังเช่นผู้ประพันธ์ ท่านนี้ต้องถูกจับติดคุกที่ไต้หวัน 9 ปี ชื่อจริงชื่อ กัวอีต้ง เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1920 ที่อำเภอฮุย มณฑลเห่อเป่อ เรื่องนี้ด่าคนจีนได้อย่างเจ็บแสบ แต่ด่าด้วยความสุจริตใจ ต้องการติเพื่อก่อ ต้องการเห็นประเทศจีนเจริญก้าวหน้า
บทความนี้อาจมีประโยชน์ในแง่ที่ให้หันมามองจุดอ่อนของคนไทยด้วยความเป็นธรรม อะไรที่ไม่ดีทำให้คนไทยไม่เจริญก็ว่ากันมาได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะกลายเป็นไม่รักคนไทยด้วยกัน หรือทรยศต่อชาติ ไม่เอาแต่ คุยโตโอ้อวดอวดว่า ไทยเราดีอย่างโน้นอย่างนี้ แง่ที่บกพร่อง ไม่ได้เรื่องได้ราวไม่ยอมเอามาพูด และคนไทยที่เชื้อสายจีน ก็จะมองเห็นด้านอีกด้านที่ไม่ดีด้วย
1.คนจีนเป็นคนขี้โม้ คุยโต ชอบโอ้อวด ว่าชาติตัวเอง เป็นชาติ ยิ่งใหญ่ เก่าแก่ ศิวิไลย์ เจริญมาก่อนชาติอื่นๆในโลก มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุด ไม่มีชาติอื่นจะเทียบได้ จริงๆแล้วเป็นเพียงโกหกคำโต
2.มีวัฒนธรรมที่น่ารังเกียจ คือ สกปรก ยุ่งเหยิง วุ่นวาย หนวกหู(ชอบพูดคุยกันเสียงดัง ไม่เกรงใจคนอื่น)
3.ไม่มีความสามัคคีกันในหมู่คนจีนด้วยกัน อยู่คนเดียวจะเก่ง พอรวมกลุ่มกันก็เอาแต่ทะเลาะกัน เกี่ยงกันทำงาน ตามคำพังเพยที่ว่า “พระสงฆ์รูปหนึ่งหาบน้ำกิน พระสงฆ์สองรูปหิ้วน้ำกิน พระสงฆ์สามรูปไม่มีน้ำกิน” “คนจีนหนึ่งคนเป็นมังกร คนจีนสามคนรวมกันเป็นหมู เป็นหนอน คนญี่ปุ่น หนึ่งคนเป็นหมู คนญี่ปุ่นสามคนรวมกันเข้าเป็นมังกร”
4.ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ลงมติกันแล้ว ก็ต่างคนต่างทำ ไม่ร่วมมือกัน
5.ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด กลับทำความผิดเพิ่ม เพื่อกลบความผิดเดิม
6.ชอกโกหก ปากกับใจไม่ตรงกัน เช่น ถามกินเข้าแล้วหรือยัง ถึงยัง ก็ต้องบอกกินแล้วทำให้คาดเดายากว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สิ้นเปลืองความคิดจิตใจในการคาดเดา
7.ชอบผูกอาฆาต ชอบล้างแค้นกัน อย่างไร้สาระ สามชั่วคนยังล้างแค้นกันไม่จบ ดังเช่นหนังกำลังภายในที่เราชอบดูกัน หลายเรื่องเป็นเรื่องของการล้างแค้นแทนพ่อแม่ปู่ย่าตายาย รุ่นลูกไม่รู้จักกันมาก่อนต้องมาฆ่ากัน
8.มีจิตใจคับแคบทำให้ คนจีนมีนิสัยออกเป็นสุดขั้ว สองขั้วคือ หนึ่งดูถูกตนเอง สูญเสียการรักศักดิ์ศรีตนเอง เกิดวัฒนธรรมประจบสอพลอ จนน่ารังเกียจ สอง ยะโสโอหัง ดูถูกคนอื่น ว่าเป็นแค่ขี้หมาก้อนหนึ่งไม่มีค่าควรแก่การชำเลืองมอง
10.ไม่กล้าใช้วิจารณญาณที่เป็นอิสระ แยกแยะไม่ออก ในความดีความชั่ว ผิดถูก
นำใจความมาจากหนังสือเรื่องจีนอัปลักษณ์ ไป๋เอี๋ยง ผู้ประพันธ์ ส.สุวรรณ ผู้แปล
เรื่องนี้ตีพิมพ์ได้ทั้งในไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่ หลายสิบครั้ง จึงไม่ใช่หนังสือต้องห้ามแต่อย่างไร ปกติคนจีนจะเป็นคนที่ขี้โม้โอ้อวด แต่มองไม่เห็นความบกพร่อง ความไม่ดีของตนเอง ใครมาจี้จุดบอดนี้ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่รักชาติจีน เป็นคนที่ทรยศต่อพวกเดียวกัน ดังเช่นผู้ประพันธ์ ท่านนี้ต้องถูกจับติดคุกที่ไต้หวัน 9 ปี ชื่อจริงชื่อ กัวอีต้ง เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1920 ที่อำเภอฮุย มณฑลเห่อเป่อ เรื่องนี้ด่าคนจีนได้อย่างเจ็บแสบ แต่ด่าด้วยความสุจริตใจ ต้องการติเพื่อก่อ ต้องการเห็นประเทศจีนเจริญก้าวหน้า
บทความนี้อาจมีประโยชน์ในแง่ที่ให้หันมามองจุดอ่อนของคนไทยด้วยความเป็นธรรม อะไรที่ไม่ดีทำให้คนไทยไม่เจริญก็ว่ากันมาได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะกลายเป็นไม่รักคนไทยด้วยกัน หรือทรยศต่อชาติ ไม่เอาแต่ คุยโตโอ้อวดอวดว่า ไทยเราดีอย่างโน้นอย่างนี้ แง่ที่บกพร่อง ไม่ได้เรื่องได้ราวไม่ยอมเอามาพูด และคนไทยที่เชื้อสายจีน ก็จะมองเห็นด้านอีกด้านที่ไม่ดีด้วย
1.คนจีนเป็นคนขี้โม้ คุยโต ชอบโอ้อวด ว่าชาติตัวเอง เป็นชาติ ยิ่งใหญ่ เก่าแก่ ศิวิไลย์ เจริญมาก่อนชาติอื่นๆในโลก มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุด ไม่มีชาติอื่นจะเทียบได้ จริงๆแล้วเป็นเพียงโกหกคำโต
2.มีวัฒนธรรมที่น่ารังเกียจ คือ สกปรก ยุ่งเหยิง วุ่นวาย หนวกหู(ชอบพูดคุยกันเสียงดัง ไม่เกรงใจคนอื่น)
3.ไม่มีความสามัคคีกันในหมู่คนจีนด้วยกัน อยู่คนเดียวจะเก่ง พอรวมกลุ่มกันก็เอาแต่ทะเลาะกัน เกี่ยงกันทำงาน ตามคำพังเพยที่ว่า “พระสงฆ์รูปหนึ่งหาบน้ำกิน พระสงฆ์สองรูปหิ้วน้ำกิน พระสงฆ์สามรูปไม่มีน้ำกิน” “คนจีนหนึ่งคนเป็นมังกร คนจีนสามคนรวมกันเป็นหมู เป็นหนอน คนญี่ปุ่น หนึ่งคนเป็นหมู คนญี่ปุ่นสามคนรวมกันเข้าเป็นมังกร”
4.ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ลงมติกันแล้ว ก็ต่างคนต่างทำ ไม่ร่วมมือกัน
5.ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด กลับทำความผิดเพิ่ม เพื่อกลบความผิดเดิม
6.ชอกโกหก ปากกับใจไม่ตรงกัน เช่น ถามกินเข้าแล้วหรือยัง ถึงยัง ก็ต้องบอกกินแล้วทำให้คาดเดายากว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สิ้นเปลืองความคิดจิตใจในการคาดเดา
7.ชอบผูกอาฆาต ชอบล้างแค้นกัน อย่างไร้สาระ สามชั่วคนยังล้างแค้นกันไม่จบ ดังเช่นหนังกำลังภายในที่เราชอบดูกัน หลายเรื่องเป็นเรื่องของการล้างแค้นแทนพ่อแม่ปู่ย่าตายาย รุ่นลูกไม่รู้จักกันมาก่อนต้องมาฆ่ากัน
8.มีจิตใจคับแคบทำให้ คนจีนมีนิสัยออกเป็นสุดขั้ว สองขั้วคือ หนึ่งดูถูกตนเอง สูญเสียการรักศักดิ์ศรีตนเอง เกิดวัฒนธรรมประจบสอพลอ จนน่ารังเกียจ สอง ยะโสโอหัง ดูถูกคนอื่น ว่าเป็นแค่ขี้หมาก้อนหนึ่งไม่มีค่าควรแก่การชำเลืองมอง
10.ไม่กล้าใช้วิจารณญาณที่เป็นอิสระ แยกแยะไม่ออก ในความดีความชั่ว ผิดถูก
กาลิเลโอ กาลิเลอิ(Galileo Galilei)
นพ.กาลิเลโอ กาลิเลอิ เป็นชาวอิตาลี เกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 ที่เมือง ปิซา ที่ตั้งของหอเอนเมืองปิซา เป็นลูกคนโตของ นายวินเซนชิโอ กาลิเลอิ ซึ่งเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงแต่ยากจน จึงต้องทำอาชีพค้าขนสัตว์เป็นอาชีพเสริม แม่ชื่อจูเลีย มีพี่น้องรวมกันทั้งหมด 7 คน พ่อเป็นคนรักการศึกษา เจียดเงินส่งลูกเรียน เด็กรุ่นเดียวกันไม่มีใครได้เรียน ออกทำงานกันหมด เข้าโรงเรียนตั้งแต่อายุ 9 ปี พ่ออยากให้ลูกเรียนหมอ ยอมอดอยาก สละเงินที่มีส่วนมาก ส่งให้เรียน ทั้งๆที่ภรรยาต่อว่าตลอดว่า ทำไมไม่ให้ออกมาช่วยทำงานช่วยกันเลี้ยงน้องอีกตั้ง 6 คน แต่พ่อก็ไม่ยอม ขยันหาเงินมากขึ้น อดออมมาให้ลูกคนนี้ได้เรียน
ตอนอยู่โรงเรียนก็เรียนภาษาลาติน ภาษากรีก วิชากลของปิธากอรัส คณิตศาสตร์ ปรัชญาแนวคิดของอริสโตเติ้ล(มีทั้ง ปรัชญา คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ อุตุนิยมวิทยา ชีววิทยาและการเมือง ฯลฯ) ชอบเถียงครู ที่สอนตามที่เชื่อๆกันมาแต่โบราณโดยไม่ได้พิสูจน์ มีฉายาตอนอยู่มหาวิทยาลัย ว่า นักโต้เถียง ทฤษฏีที่เขาโต้อริสโตเติ้ลจนมีชื่อเสียงหลังการพิสูจน์ว่าเขาถูกคือการพิสูจน์ ความเร็วการตกของของสองสิ่งที่มีมวลต่างกันว่าเท่ากัน คือความเร็วไม่ได้แปรผันตามมวลตามที่อริสโตเติ้ลว่าไว้ ค้นพบกฎการแกว่งของลูกตุ้มตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี จนครูบาอาจารย์ คนทั้งเมืองยอมรับ เรียนยังไม่จบพ่อก็หมดเงินส่งเสีย ก็สมัครเป็นอาจารย์บรรยายหน้าชั้นเรียนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบและหารายได้พิเศษเป็นหมอไปตรวจคนไข้ตามบ้าน กลางคืนค้นคว้าอ่านหนังสือจนแตกฉาน คิดค้นทฤษฎีอีกมากมาย เมื่อรวบรวมนำเสนอได้รับการยอมรับจากวงการนักวิทยาศาตร์ทั่วไปในสมัยนั้น ได้รับเชิญเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุเพียง 25 ปี ได้ออกโรงโต้แนวคิดของอริสโตเติ้ลมาตลอด โดยเน้นหนักเรื่องการทดลองพิสูจน์ความจริง ไม่ใช่เชื่อกันตามๆกันมา ต่อๆมา ปี ค.ศ.1591 บิดาตาย เขาเสียใจมาก เขาต้องรับภาระเลี้ยงดูแม่และน้องอีก 6 คน ดิ้นรนจนได้ย้ายไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ปาดัว มีเงินเดือนเพิ่ม 3 เท่า
เรื่องที่กระเทือนสถานภาพของเขา และนำเป็นสู่การถูกกักขังคือเรื่องทฤษฎีเรื่องศูนย์กลางของจักรวาล เขาเชื่อแบบนิโคลัส โคเปอร์นิคัส (เคยเป็นนักศึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยปาดัวแห่งนี้) ว่า โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาลตามที่เชื่อกันมาตามคัมภีร์ไบเบิ้ล ดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งในยุคนั้นการประกาศความเชื่อเรื่องนี้ถือว่าต่อต้านคริสตจักรที่กรุงโรม จะต้องถูกลงโทษหนักขนาดเผาให้ตายทั้งเป็น เช่นบาทหลวงจิออร์ดาโน บรูโน สอนเรื่องนี้ตรงข้ามกับคริสตจักรสอน ถูกตัดสินให้เผาให้ตายทั้งเป็น การค้นพบกล้องดูดาวในฮอลแลนด์ ทำให้กาลิเลโอมองเห็นสภาพความเป็นไปในท้องฟ้าได้แจ่มชัดขึ้น เขาเห็นดาวจันทร์บริวารของดาวพฤหัส 4 ดวง เห็นวงแหวนดาวเสาร์ เห็นจุดดับในดวงอาทิตย์ (ซึ่งการดูดวงอาทิตย์ทำให้เขาตาบอดในช่วงปัจฉิมวัย) เห็นภูเขาบนดวงจันทร์ เขาได้ตีพิมพ์การค้นพบของเขาในปี ค.ศ. 1610 ปีต่อมาเขาถูกสันตะปะปาเปาโลที่ 5 เรียกพบพิจารณาในศาล แล้วสั่งลงโทษเขา โดยห้ามพูดและตีพิมพ์เผยแพร่เรื่องนี้ ต่อมาเขาตีพิมพ์เรื่องนี้เป็นบทสนทนาโต้แย้งความเชื่อดังกล่าวเรื่อง”บทสนทนาว่าด้วยเรื่องดาราศาสตร์”
เดือนกุมภาพันธ์ คศ.1632 สันตะปะปาเออร์แบนที่ 8 เรียกพบ พิจารณาโทษ ฐานขัดคำสั่งที่ห้ามเผยแพร่แนวความคิดที่บอกว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล สั่งลงโทษกักขังกาลิเลโอ ตลอดชีวิต เขาอยู่ในที่ขัง จนตราบวันสุดท้ายในชีวิตเขาอย่างเดียวดาย มืดมิด ก่อนตายเขาตาบอด มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นแอบมาเยี่ยมเขาหลายท่าน สังคมในอิตาลียุคนั้น ไม่มีใครกล้าหาญสู้กับอำนาจของศาสนจักรที่มีศูนย์กลางที่กรุงโรม ยกเว้น นพ.กาลิเลโอ กาลิเลอิ เขาตายในที่กักขัง เมื่อ 9 มกราคม ค.ศ.1642
แม้ว่าจะตาบอด ความใฝ่ค้นหาสัจธรรมก็ยังไม่หยุด ในวาระสุดท้ายที่ถูกกักขังเขาได้ถ่ายทอด “เรื่องบทสนทนาว่าด้วยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่”ให้ กับนาย อีวานเจลิสตา ทอริเชลลี นักฟิสิกส์ผู้มีชื่อเสียงของอิตาลี เขาได้จดไว้และแอบนำไปตีพิมพ์ที่ประเทศฮอลแลนด์ในปี คศ.1638
ในยุคนั้น เริ่มเกิดการเคลื่อนไหวปฏิรูปศาสนาคริสต์นำโดย มาร์ติน ลูเธอร์ เกิดเป็นนิกายโปรแตสแตนท์มาจนถึงทุกวันนี้ ประเทศทางแถบเหนือของยุโรป เริ่มแข็งข้อไม่ยอมรับอำนาจของวาติกัน ทำให้สามารถตีพิมพ์งานของกาลิเลโอได้
ปี ค.ศ.1792 สันตะปะปา โจฮันเปาโลที่ 2 ประกาศว่าการลงโทษกาลิเลโอในศาลศาสนาเมื่อ 150 ปี ก่อนนั้นเป็นการพิพากษาที่ผิดพลาด
ในปีที่กาลิเลโอ ตาย เป็นปีที่ท่าน เซอร์ ไอแซค นิวตัน นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกชาวอังกฤษเกิดขึ้นพอดี น่าคิดนะครับว่าเป็นเขากลับมาเกิด หรือไม่?
จากเรื่องนี้ จะเห็นว่า การที่จะมีนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งๆขึ้นมาสักคนหนึ่ง จนมีการคิดออกนอกกรอบในปัจจุบันออกไปได้ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เขาได้รับการ ”ฟูมฟัก” จากพ่อที่แสนจะยากจน แต่รักการศึกษามาก ไม่กลัวแม้แต่เมียที่คัดค้านอย่างหนักว่าไม่ให้เรียน ส่งจนหมดแรงส่ง ก็เกิดมีคนเห็นความสามารถเขา และจ้างเขาเป็นอาจารย์ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา เพื่อให้เรียนต่อจนจบ เทียบในสมัยนี้ แมวมองก็ไปดูว่าเด็กคนไหนมีแววเป็นดาวรุ่งนักฟุตบอลชั้นยอด ก็มาพาเอาไปฝึก ภายหลังค่าตัวเป็นล้านๆปอนด์
ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย แต่คนที่พูดความจริงอาจตายได้
(ถอดความและสรุป จากหนังสือเรื่องกาลิเลโอ กาลิเลอิ บิดาแห่งนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่)
๒๕๔๐
ตอนอยู่โรงเรียนก็เรียนภาษาลาติน ภาษากรีก วิชากลของปิธากอรัส คณิตศาสตร์ ปรัชญาแนวคิดของอริสโตเติ้ล(มีทั้ง ปรัชญา คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ อุตุนิยมวิทยา ชีววิทยาและการเมือง ฯลฯ) ชอบเถียงครู ที่สอนตามที่เชื่อๆกันมาแต่โบราณโดยไม่ได้พิสูจน์ มีฉายาตอนอยู่มหาวิทยาลัย ว่า นักโต้เถียง ทฤษฏีที่เขาโต้อริสโตเติ้ลจนมีชื่อเสียงหลังการพิสูจน์ว่าเขาถูกคือการพิสูจน์ ความเร็วการตกของของสองสิ่งที่มีมวลต่างกันว่าเท่ากัน คือความเร็วไม่ได้แปรผันตามมวลตามที่อริสโตเติ้ลว่าไว้ ค้นพบกฎการแกว่งของลูกตุ้มตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี จนครูบาอาจารย์ คนทั้งเมืองยอมรับ เรียนยังไม่จบพ่อก็หมดเงินส่งเสีย ก็สมัครเป็นอาจารย์บรรยายหน้าชั้นเรียนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบและหารายได้พิเศษเป็นหมอไปตรวจคนไข้ตามบ้าน กลางคืนค้นคว้าอ่านหนังสือจนแตกฉาน คิดค้นทฤษฎีอีกมากมาย เมื่อรวบรวมนำเสนอได้รับการยอมรับจากวงการนักวิทยาศาตร์ทั่วไปในสมัยนั้น ได้รับเชิญเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุเพียง 25 ปี ได้ออกโรงโต้แนวคิดของอริสโตเติ้ลมาตลอด โดยเน้นหนักเรื่องการทดลองพิสูจน์ความจริง ไม่ใช่เชื่อกันตามๆกันมา ต่อๆมา ปี ค.ศ.1591 บิดาตาย เขาเสียใจมาก เขาต้องรับภาระเลี้ยงดูแม่และน้องอีก 6 คน ดิ้นรนจนได้ย้ายไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ปาดัว มีเงินเดือนเพิ่ม 3 เท่า
เรื่องที่กระเทือนสถานภาพของเขา และนำเป็นสู่การถูกกักขังคือเรื่องทฤษฎีเรื่องศูนย์กลางของจักรวาล เขาเชื่อแบบนิโคลัส โคเปอร์นิคัส (เคยเป็นนักศึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยปาดัวแห่งนี้) ว่า โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาลตามที่เชื่อกันมาตามคัมภีร์ไบเบิ้ล ดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งในยุคนั้นการประกาศความเชื่อเรื่องนี้ถือว่าต่อต้านคริสตจักรที่กรุงโรม จะต้องถูกลงโทษหนักขนาดเผาให้ตายทั้งเป็น เช่นบาทหลวงจิออร์ดาโน บรูโน สอนเรื่องนี้ตรงข้ามกับคริสตจักรสอน ถูกตัดสินให้เผาให้ตายทั้งเป็น การค้นพบกล้องดูดาวในฮอลแลนด์ ทำให้กาลิเลโอมองเห็นสภาพความเป็นไปในท้องฟ้าได้แจ่มชัดขึ้น เขาเห็นดาวจันทร์บริวารของดาวพฤหัส 4 ดวง เห็นวงแหวนดาวเสาร์ เห็นจุดดับในดวงอาทิตย์ (ซึ่งการดูดวงอาทิตย์ทำให้เขาตาบอดในช่วงปัจฉิมวัย) เห็นภูเขาบนดวงจันทร์ เขาได้ตีพิมพ์การค้นพบของเขาในปี ค.ศ. 1610 ปีต่อมาเขาถูกสันตะปะปาเปาโลที่ 5 เรียกพบพิจารณาในศาล แล้วสั่งลงโทษเขา โดยห้ามพูดและตีพิมพ์เผยแพร่เรื่องนี้ ต่อมาเขาตีพิมพ์เรื่องนี้เป็นบทสนทนาโต้แย้งความเชื่อดังกล่าวเรื่อง”บทสนทนาว่าด้วยเรื่องดาราศาสตร์”
เดือนกุมภาพันธ์ คศ.1632 สันตะปะปาเออร์แบนที่ 8 เรียกพบ พิจารณาโทษ ฐานขัดคำสั่งที่ห้ามเผยแพร่แนวความคิดที่บอกว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล สั่งลงโทษกักขังกาลิเลโอ ตลอดชีวิต เขาอยู่ในที่ขัง จนตราบวันสุดท้ายในชีวิตเขาอย่างเดียวดาย มืดมิด ก่อนตายเขาตาบอด มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นแอบมาเยี่ยมเขาหลายท่าน สังคมในอิตาลียุคนั้น ไม่มีใครกล้าหาญสู้กับอำนาจของศาสนจักรที่มีศูนย์กลางที่กรุงโรม ยกเว้น นพ.กาลิเลโอ กาลิเลอิ เขาตายในที่กักขัง เมื่อ 9 มกราคม ค.ศ.1642
แม้ว่าจะตาบอด ความใฝ่ค้นหาสัจธรรมก็ยังไม่หยุด ในวาระสุดท้ายที่ถูกกักขังเขาได้ถ่ายทอด “เรื่องบทสนทนาว่าด้วยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่”ให้ กับนาย อีวานเจลิสตา ทอริเชลลี นักฟิสิกส์ผู้มีชื่อเสียงของอิตาลี เขาได้จดไว้และแอบนำไปตีพิมพ์ที่ประเทศฮอลแลนด์ในปี คศ.1638
ในยุคนั้น เริ่มเกิดการเคลื่อนไหวปฏิรูปศาสนาคริสต์นำโดย มาร์ติน ลูเธอร์ เกิดเป็นนิกายโปรแตสแตนท์มาจนถึงทุกวันนี้ ประเทศทางแถบเหนือของยุโรป เริ่มแข็งข้อไม่ยอมรับอำนาจของวาติกัน ทำให้สามารถตีพิมพ์งานของกาลิเลโอได้
ปี ค.ศ.1792 สันตะปะปา โจฮันเปาโลที่ 2 ประกาศว่าการลงโทษกาลิเลโอในศาลศาสนาเมื่อ 150 ปี ก่อนนั้นเป็นการพิพากษาที่ผิดพลาด
ในปีที่กาลิเลโอ ตาย เป็นปีที่ท่าน เซอร์ ไอแซค นิวตัน นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกชาวอังกฤษเกิดขึ้นพอดี น่าคิดนะครับว่าเป็นเขากลับมาเกิด หรือไม่?
จากเรื่องนี้ จะเห็นว่า การที่จะมีนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งๆขึ้นมาสักคนหนึ่ง จนมีการคิดออกนอกกรอบในปัจจุบันออกไปได้ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เขาได้รับการ ”ฟูมฟัก” จากพ่อที่แสนจะยากจน แต่รักการศึกษามาก ไม่กลัวแม้แต่เมียที่คัดค้านอย่างหนักว่าไม่ให้เรียน ส่งจนหมดแรงส่ง ก็เกิดมีคนเห็นความสามารถเขา และจ้างเขาเป็นอาจารย์ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา เพื่อให้เรียนต่อจนจบ เทียบในสมัยนี้ แมวมองก็ไปดูว่าเด็กคนไหนมีแววเป็นดาวรุ่งนักฟุตบอลชั้นยอด ก็มาพาเอาไปฝึก ภายหลังค่าตัวเป็นล้านๆปอนด์
ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย แต่คนที่พูดความจริงอาจตายได้
(ถอดความและสรุป จากหนังสือเรื่องกาลิเลโอ กาลิเลอิ บิดาแห่งนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่)
๒๕๔๐
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552
จิตแจ่มใส พิชิตใจผู้รับบริการ
บันทึกสรุปปาถกฐาธรรมของท่านเจ้าคุณ พระเทพสุวรรณโมลี เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี
เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๒ เรื่อง จิตแจ่มใส พิชิตใจผู้รับบริการ
ณ โรงแรมอู่ทองแกรนด์ จังหวัดสุพรรณบุรี
เนื่องในการประชุมวิชาการประจำปี
ของเครือข่ายชมรมจริยธรรม
กระทรวงสาธารณสุขเขต๔
การที่เราจะให้ความสุขเขา แล้วเรามีความสุขหรือเปล่า
จะให้เงินเขาเราต้องมีเงินจึงจะให้เขาได้
ดูใจเราว่า ใจเรา "แจ่มใส"หรือไม่ ถ้าใจเป็นทุกข์ ใจเราก็ขุ่น ใจก็เศร้าหมอง แล้วอะไรละท่ทำให้ใจเราทุกข์
ให้จำคำนี้ไว้ " มีมารในตัว จะขุ่นมัวตลอดไป มีพระอยู่ในใจ จะแจ่มใสตลอดกาล" มารคือ ความชัง ความไม่พอใจ เป็นมารในใจ แจ่มใสคือความรัก ความเมตตา เหมือนมีพระในใจ
คุณสมบัติดั้งเดิมของจิตใจ คือคามเมตตา ความรัก ส่วนความโกรธ ความเกลียด เป็นแขกที่มาภายหลัง เป็นครั้งคราว การแผ่เมตตา คือการขยายความรักให้กกว้างออกไป ปกติเราจะให้เฉพาะกับญาติมิตรของเรา คนอื่นไม่เกี่ยว พระท่านสอนให้ขยายความรักไปให้คนอื่นๆด้วย ยิ่งกว้างขวางมากเท่าไร จิตใจของเราก็จะแจ่มใสมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเกิดไปเกลียดแม้แต่เพียงคนดียว ใจก็จะขุ่นมัวมากขึ้น การให้ความรักกับคนทั้งโลก จิตใจก็จะแจ่มใสอัตโนมัต ใครที่มารับบริการจากเรา ถ้าเราได้ให้ด้วยความรักความเมตตา เราก็จะชนะใจเขา จิตใจของเราขาดความรักไม่ได้ ถ้าขาดจะตาย พวกเราอยู่รอดมาจนปปัจจุบันนี้ก็เนื่องจากมีความรักหล่อเลี้ยงอยู่ เราเกลียดคนทั้งโลกได้หรือไม่ ไม่ได้ ถ้าเกลียดคนทั้งโลกเราตาย ถ้าเรารักคนทั้งโลก จะทำให้จิตเราแจ่มใส จิตเมื่อมีเมตตา จิตจะมีความสุขเหมือนปลา(จิต) อยู่ในน้ำ(เมตตา) วิธีที่จะทำให้ชีวิตเรามีความสุข คือการแผ่เมตตานั่นเอง ถ้ามี ใจที่ประกอบด้วยความเมตตา เรียกว่า ใจดี ถ้ามีใจที่ประกอบด้วยความไร้เมตตา เรียกใจนั้นว่า ใจร้าย
ถ้าเราเอาความดีของพ่อแม่ มาถือไว้ เรียกว่าเรารักพ่อแม่
ถ้าเราเอาความดีของเราไปให้คนอื่นเขา (ให้คนอื่นถือไว้) เขาก็รักเรา
ความรักความเมตตา คือการที่คนเราเอาความดีของกันและกันมาถือให้กัน
คนที่นับถือศาสนาพุทธคือคนที่เอาความดีของพระพุทธเจ้ามาถือไว้ เรียกว่าเรารักพระพุทธเจ้า
เมื่อเราเอาความดีของในหลวงมาถือไว้ เรียกว่าเรารักในหลวง
พุทธมามะกะมนต์ คือ มนต์สำหรับคนที่รักพระพุทธเจ้า
เมื่อเรารักพระพุทธเจ้ามาก จิตใจเราก็จะแจ่มใส
เรารักพระพุทธเจ้า ก็เราะว่า พระพุทธเจ้าสอนเราให้รักทุกชีวิตในโลก
แต่ดั้งเดิมจริงๆ คนไทยเรียก พระพุทธเจ้าว่า พระเจ้า
ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา พวกฝรั่งโปรตุเกตุ มาช่วยทำสงคราม มาตั้งรกรากที่กรุงศรีอยุธยา
นำศาสนาคริสต์มาเผยแพร่ สิ่งเคารพของเขา คือ GOD พอมาแปลเป็นไทยเรียกว่าพระเจ้า
เหมือนที่คนไทยเรียกพระพุทธเจ้าว่า พระเจ้า พวกอิสลามที่เข้ามาเมืองไทยก็เรียกองค์อัลลเลาะห์
ของเขาเป็นไทยว่าพระเจ้าอีก ทำให้สิ่งเคารพของไทยกลายเป็นสิ่งเคารพของศาสนาอื่นไป
คำพระพุทธเจ้าจึงเกิดขึ้น
ท่านเจ้าคุณได้แจก พุทธมามกมนต์ แล้วนำสวด ให้พวกเราผู้เข้าประชุมสวดพร้อมๆกัน
เป็นการแสดงธรรมที่ประทับใจชาวชมรมจริยธรรมเขต๔ ทุกๆคน
(ประธานเครือข่าย ชมรมจริยธรรม เขตตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขต๔ ผู้บันทึก)
วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552
อจ.ประเวศ วะสี กับ มูลนิธิพุทธฉือจี้
ร่วมด้วยช่วยกันเยียวยาโลก ธรรมสัญจร สู่มูลนิธิพุทธฉือจี้
๑๖
อรจิตต์ บำรุงสกุลสวัสดิ์
พลังแห่งศรัทธา คือหลักประกันสุขภาพ
การ ศึกษาดูงานที่มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวันในครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสดีที่สำคัญยิ่ง เนื่องจากมีท่านผู้ใหญ่ เช่น ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี และอาจารย์แพทย์หลายท่านร่วมอยู่ในคณะดูงานด้วย จากการดูงานมูลนิธิพุทธฉือจี้ที่ไทเปและฮวาเหลียน ๕ วัน พวกเราได้เข้าใจและเข้าถึงแก่น ของจิตวิญญาณของฉือจี้ ทำให้เกิดพลังศรัทธาที่เสริมหนุนให้อยากกลับมาทำสิ่งดีๆ ในประเทศไทยมากขึ้นไปอีก
แก่นแท้ของฉือจี้ ที่ได้ค้นพบ คือการยึดถือหลักธรรม คุณธรรมของพุทธศาสนาและความรัก ความเมตตา กรุณา ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นหลักการพื้นฐานในการทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปฏิบัติ สำเร็จสมความปรารถนา โดยมีการถ่ายทอดผ่านคำสอนของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนให้แก่สมาชิกฉือจี้ อย่างสม่ำเสมอ การนำกรณีศึกษาการทำความดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่างๆ ของเหล่าอาสาสมัครฉือจี้ ถ่ายทอดผ่านทางการประชุมทางไกล และสถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายไปทั่วประเทศและทั่วโลก
การมีวาทะธรรม ปรากฏไว้ในสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ซึมซับเข้าในจิตใจของผู้พบเห็น ที่ปรากฏทั้งในสมณารามของท่านธรรมาจารย์ เจิ้งเหยียน ในหอสวดมนต์ (จิ้งซือถัง) ในมหาวิทยาลัยแพทย์ฉือจี้ ในโรงพยาบาลและโรงเรียนต่างๆของมูลนิธิพุทธฉือจี้ และในนิทรรศการต่างๆ ที่แสดงเนื่องในโอกาสครบ รอบ ๔๐ ปี ของมูลนิธิ ตัวอย่างเช่น
* การร่วมใจ รวมพลัง แบ่งปันความรัก และร่วมแรงช่วยเหลือกัน (เหอซิน เหอชี่ หูอ้าย เสี่ยลี่)
* หากมีใจที่มุ่งมั่นก็จะไม่พบ กับความทุกข์ยาก (โหย่ว ซินจิ้วปู้ขุ้นหนาน)
* ความรักอันยิ่งใหญ่ ย่อมไร้พรมแดน (ต้าอ้ายอู๋ซื่อเจี้ย)
* ความรักอันยิ่งใหญ่ทำให้โลก สว่างไสวขึ้นมาได้ (ต้าอ้ายยั่งซื่อเจี้ยเหลียงฉี่หลาย)
ที่ สำคัญได้กล่าวถึงบุคลากรทางการแพทย์ว่า นายแพทย์ทั่วไปมักจะมุ่งรักษาแต่โรค แต่นายแพทย์ ที่มีคุณธรรมจะรักษาที่จิตใจด้วย (เสี้ยอีอีปิ้ง สั้งอีอีซิน)
แม้แต่ ในห้องน้ำหญิงที่สมณา-รามของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน ก็ยังเขียนไว้ว่า จิตใจที่ดีงามย่อมมองทุกสิ่งด้วยความราบรื่นสวยงาม (ซินเหม่ย คั่นเซิมเมอโตวซุ่นเอี่ยน) นับว่าเป็นจิตวิทยาและวิธีการที่เยี่ยมยอดในการหล่อหลอมขัดเกลาจิตใจผู้คน ให้เป็นคนดีและทำความดี โดยให้ซึมซับเข้าไปในจิตวิญญาณโดยไม่รู้ตัว
นอก จากนี้ ภารกิจของฉือจี้ ๔ ประการที่กำหนดได้แก่ ภารกิจด้านการกุศล ภารกิจด้านการรักษาพยาบาล ภารกิจด้านการศึกษาและภารกิจด้านวัฒนธรรมนั้น ถือได้ว่าฉือจี้ได้มุ่งเน้นที่ความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง โดยต้องการช่วยเหลือให้มนุษย์ทุกคนพ้นทุกข์และอยู่ในสังคมได้อย่างมี ศักดิ์ศรี ไม่แบ่งชั้นวรรณะหรือความยากดีมีจน ซึ่งได้ปรากฏเป็นรูปธรรมมากมายให้เราสามารถศึกษาเรียนรู้ได้
สิ่ง ที่น่าสนใจอย่างมากอีกประการ หนึ่งคือ เหล่าอาสาสมัครฉือจี้ ซึ่งมี อยู่ถึง ๔ ล้านคนทั่วโลกในระยะ ๔๐ ปี ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าพวกเขาได้ถูกหล่อหลอมและนำเอาจิตวิญญาณของฉือจี้ซึมซับเข้าไว้ ภายในจิตใจ เพื่อช่วยกันทำความดี ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก เราจะได้เห็นอาสาสมัครฉือจี้ในที่ต่างๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าในโรงพยาบาลของมูลนิธิ ในชุมชนคนยากจนและสถานที่ที่ประสบภัยพิบัติทั่วโลก อาสาสมัครเหล่านี้เป็นผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตน พร้อมจะเสียสละ ทั้งกำลังกาย กำลังใจและกำลังทรัพย์ และล้วนมีจิตใจที่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ต้องการทำความดีอยู่เบื้องหลังโดยไม่ประกาศให้สาธารณะได้รู้ และได้พบว่าในประเทศไทยก็มีอาสาสมัครฉือจี้อยู่ถึงเป็นพันคน ที่พร้อมที่จะทำความดีเพื่อช่วยเหลือเพื่อนคนไทยที่ตกทุกข์ได้ยากเช่นกัน
สิ่ง สำคัญหลังจากการศึกษาดูงานครั้งนี้คือ เราจะนำจิตวิญญาณฉือจี้และเรื่องดีๆ ที่กล่าวข้างต้นมาปรับใช้ และทำอะไรต่อไปให้เกิดประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์คนไทยที่ตกทุกข์ได้ยากให้มาก ขึ้น ในที่นี้พอจะสรุปได้ดังนี้
๑. สิ่งที่ทุกคนเห็นชาวอาสาสมัคร ฉือจี้ทำคือเป็นการทำให้คนอื่น แต่ชาวฉือจี้คิดว่าเป็นการทำให้ตัวเอง บุคลิกที่ประทับใจคือการดูแลเอาใจใส่เอื้ออาทร ความนอบน้อมถ่อมตน ซึ่งมีอยู่เช่นกันในสังคมไทยมานานแล้ว
๒. บริบทสังคมไทยเป็นไปได้ที่จะ ทำสิ่งนี้ เช่น นักศึกษาออกไปช่วยสังคม อุดมคติที่อยู่ในฉือจี้ ต้าอ้าย-ความรักที่ยิ่งใหญ่Ž ถ้าเราจะปลูกฝังให้เกิดขึ้นในสังคมไทยจะดีมาก เราต้องจับให้ถึงจุด เข้าให้ถึงแก่น
๓. หลักประกันสุขภาพ อยากให้คนไทยทุกคนมีหลักประกัน เจ็บป่วยเข้าถึงหลักประกันได้ เศรษฐฐานะไม่เป็นอุปสรรค อยากปฏิรูประบบสุขภาพโดยให้ระบบบริการสุขภาพเปลี่ยนจากmodernized เป็น humanized โดยใช้แนวทางของฉือจี้ผสมกับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทุกคน มีส่วนร่วมในระบบหลักประกันสุขภาพ
๔. รูปธรรมหนึ่งคือ การจัดบริการสุขภาพแบบใหม่ๆ การสร้างคน อาสาสมัคร การมีส่วนร่วม ระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ผู้ป่วย ผู้ดูแลในระบบบริการสุขภาพ โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ริเริ่มจัดให้มีศูนย์ส่งเสริม มิตรภาพบำบัดในหน่วยบริการ ๑๔ แห่ง ที่เน้นเพื่อนช่วยเพื่อน ผู้ป่วยช่วยผู้ป่วย เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ ซึ่งคือจิตวิญญาณของฉือจี้นั่นเอง
๕. ควรมีการสร้างเครือข่ายร่วมกับมูล นิธิฉือจี้ทั้งในประเทศไทยและดินแดนไต้หวัน กับเครือข่ายอาสาสมัครต่างๆ ในระบบหลักประกันสุขภาพในปัจจุบัน เพื่อช่วยกันส่งเสริมพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้ตอบสนองความต้องการของคน ไทยโดยเฉพาะผู้ป่วย ผู้ทุกข์ยากต่างๆ
๖. สิ่งที่เราได้แลกเปลี่ยนกันจาก การดูงานในครั้งนี้ ปีหน้าควรมาพบปะกันอีก เพื่อมาเล่าสู่กันฟังว่า เราได้ทำอะไรด้วยจิตวิญญาณฉือจี้นี้ไปบ้างในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ธรรมสัญจร สู่มูลนิธิพุทธฉือจี้
Sat, 09/20/2008 - 17:37 — somsak ข้อมูลของสื่อ
File Name: 346-016 เล่ม: 346 เดือน-ปี: 02/2008
คอลัมน์: บนเส้นทางชีวิต
หมวดหมู่: สุขภาพพอเพียง, จิตอาสา/ ฉือจี้, อารมณ์
ผู้เขียน: นพ.ประเวศ วะสี
๑๖
อรจิตต์ บำรุงสกุลสวัสดิ์
พลังแห่งศรัทธา คือหลักประกันสุขภาพ
การ ศึกษาดูงานที่มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวันในครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสดีที่สำคัญยิ่ง เนื่องจากมีท่านผู้ใหญ่ เช่น ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี และอาจารย์แพทย์หลายท่านร่วมอยู่ในคณะดูงานด้วย จากการดูงานมูลนิธิพุทธฉือจี้ที่ไทเปและฮวาเหลียน ๕ วัน พวกเราได้เข้าใจและเข้าถึงแก่น ของจิตวิญญาณของฉือจี้ ทำให้เกิดพลังศรัทธาที่เสริมหนุนให้อยากกลับมาทำสิ่งดีๆ ในประเทศไทยมากขึ้นไปอีก
แก่นแท้ของฉือจี้ ที่ได้ค้นพบ คือการยึดถือหลักธรรม คุณธรรมของพุทธศาสนาและความรัก ความเมตตา กรุณา ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นหลักการพื้นฐานในการทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปฏิบัติ สำเร็จสมความปรารถนา โดยมีการถ่ายทอดผ่านคำสอนของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนให้แก่สมาชิกฉือจี้ อย่างสม่ำเสมอ การนำกรณีศึกษาการทำความดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่างๆ ของเหล่าอาสาสมัครฉือจี้ ถ่ายทอดผ่านทางการประชุมทางไกล และสถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายไปทั่วประเทศและทั่วโลก
การมีวาทะธรรม ปรากฏไว้ในสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ซึมซับเข้าในจิตใจของผู้พบเห็น ที่ปรากฏทั้งในสมณารามของท่านธรรมาจารย์ เจิ้งเหยียน ในหอสวดมนต์ (จิ้งซือถัง) ในมหาวิทยาลัยแพทย์ฉือจี้ ในโรงพยาบาลและโรงเรียนต่างๆของมูลนิธิพุทธฉือจี้ และในนิทรรศการต่างๆ ที่แสดงเนื่องในโอกาสครบ รอบ ๔๐ ปี ของมูลนิธิ ตัวอย่างเช่น
* การร่วมใจ รวมพลัง แบ่งปันความรัก และร่วมแรงช่วยเหลือกัน (เหอซิน เหอชี่ หูอ้าย เสี่ยลี่)
* หากมีใจที่มุ่งมั่นก็จะไม่พบ กับความทุกข์ยาก (โหย่ว ซินจิ้วปู้ขุ้นหนาน)
* ความรักอันยิ่งใหญ่ ย่อมไร้พรมแดน (ต้าอ้ายอู๋ซื่อเจี้ย)
* ความรักอันยิ่งใหญ่ทำให้โลก สว่างไสวขึ้นมาได้ (ต้าอ้ายยั่งซื่อเจี้ยเหลียงฉี่หลาย)
ที่ สำคัญได้กล่าวถึงบุคลากรทางการแพทย์ว่า นายแพทย์ทั่วไปมักจะมุ่งรักษาแต่โรค แต่นายแพทย์ ที่มีคุณธรรมจะรักษาที่จิตใจด้วย (เสี้ยอีอีปิ้ง สั้งอีอีซิน)
แม้แต่ ในห้องน้ำหญิงที่สมณา-รามของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน ก็ยังเขียนไว้ว่า จิตใจที่ดีงามย่อมมองทุกสิ่งด้วยความราบรื่นสวยงาม (ซินเหม่ย คั่นเซิมเมอโตวซุ่นเอี่ยน) นับว่าเป็นจิตวิทยาและวิธีการที่เยี่ยมยอดในการหล่อหลอมขัดเกลาจิตใจผู้คน ให้เป็นคนดีและทำความดี โดยให้ซึมซับเข้าไปในจิตวิญญาณโดยไม่รู้ตัว
นอก จากนี้ ภารกิจของฉือจี้ ๔ ประการที่กำหนดได้แก่ ภารกิจด้านการกุศล ภารกิจด้านการรักษาพยาบาล ภารกิจด้านการศึกษาและภารกิจด้านวัฒนธรรมนั้น ถือได้ว่าฉือจี้ได้มุ่งเน้นที่ความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง โดยต้องการช่วยเหลือให้มนุษย์ทุกคนพ้นทุกข์และอยู่ในสังคมได้อย่างมี ศักดิ์ศรี ไม่แบ่งชั้นวรรณะหรือความยากดีมีจน ซึ่งได้ปรากฏเป็นรูปธรรมมากมายให้เราสามารถศึกษาเรียนรู้ได้
สิ่ง ที่น่าสนใจอย่างมากอีกประการ หนึ่งคือ เหล่าอาสาสมัครฉือจี้ ซึ่งมี อยู่ถึง ๔ ล้านคนทั่วโลกในระยะ ๔๐ ปี ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าพวกเขาได้ถูกหล่อหลอมและนำเอาจิตวิญญาณของฉือจี้ซึมซับเข้าไว้ ภายในจิตใจ เพื่อช่วยกันทำความดี ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก เราจะได้เห็นอาสาสมัครฉือจี้ในที่ต่างๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าในโรงพยาบาลของมูลนิธิ ในชุมชนคนยากจนและสถานที่ที่ประสบภัยพิบัติทั่วโลก อาสาสมัครเหล่านี้เป็นผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตน พร้อมจะเสียสละ ทั้งกำลังกาย กำลังใจและกำลังทรัพย์ และล้วนมีจิตใจที่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ต้องการทำความดีอยู่เบื้องหลังโดยไม่ประกาศให้สาธารณะได้รู้ และได้พบว่าในประเทศไทยก็มีอาสาสมัครฉือจี้อยู่ถึงเป็นพันคน ที่พร้อมที่จะทำความดีเพื่อช่วยเหลือเพื่อนคนไทยที่ตกทุกข์ได้ยากเช่นกัน
สิ่ง สำคัญหลังจากการศึกษาดูงานครั้งนี้คือ เราจะนำจิตวิญญาณฉือจี้และเรื่องดีๆ ที่กล่าวข้างต้นมาปรับใช้ และทำอะไรต่อไปให้เกิดประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์คนไทยที่ตกทุกข์ได้ยากให้มาก ขึ้น ในที่นี้พอจะสรุปได้ดังนี้
๑. สิ่งที่ทุกคนเห็นชาวอาสาสมัคร ฉือจี้ทำคือเป็นการทำให้คนอื่น แต่ชาวฉือจี้คิดว่าเป็นการทำให้ตัวเอง บุคลิกที่ประทับใจคือการดูแลเอาใจใส่เอื้ออาทร ความนอบน้อมถ่อมตน ซึ่งมีอยู่เช่นกันในสังคมไทยมานานแล้ว
๒. บริบทสังคมไทยเป็นไปได้ที่จะ ทำสิ่งนี้ เช่น นักศึกษาออกไปช่วยสังคม อุดมคติที่อยู่ในฉือจี้ ต้าอ้าย-ความรักที่ยิ่งใหญ่Ž ถ้าเราจะปลูกฝังให้เกิดขึ้นในสังคมไทยจะดีมาก เราต้องจับให้ถึงจุด เข้าให้ถึงแก่น
๓. หลักประกันสุขภาพ อยากให้คนไทยทุกคนมีหลักประกัน เจ็บป่วยเข้าถึงหลักประกันได้ เศรษฐฐานะไม่เป็นอุปสรรค อยากปฏิรูประบบสุขภาพโดยให้ระบบบริการสุขภาพเปลี่ยนจากmodernized เป็น humanized โดยใช้แนวทางของฉือจี้ผสมกับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทุกคน มีส่วนร่วมในระบบหลักประกันสุขภาพ
๔. รูปธรรมหนึ่งคือ การจัดบริการสุขภาพแบบใหม่ๆ การสร้างคน อาสาสมัคร การมีส่วนร่วม ระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ผู้ป่วย ผู้ดูแลในระบบบริการสุขภาพ โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ริเริ่มจัดให้มีศูนย์ส่งเสริม มิตรภาพบำบัดในหน่วยบริการ ๑๔ แห่ง ที่เน้นเพื่อนช่วยเพื่อน ผู้ป่วยช่วยผู้ป่วย เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ ซึ่งคือจิตวิญญาณของฉือจี้นั่นเอง
๕. ควรมีการสร้างเครือข่ายร่วมกับมูล นิธิฉือจี้ทั้งในประเทศไทยและดินแดนไต้หวัน กับเครือข่ายอาสาสมัครต่างๆ ในระบบหลักประกันสุขภาพในปัจจุบัน เพื่อช่วยกันส่งเสริมพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้ตอบสนองความต้องการของคน ไทยโดยเฉพาะผู้ป่วย ผู้ทุกข์ยากต่างๆ
๖. สิ่งที่เราได้แลกเปลี่ยนกันจาก การดูงานในครั้งนี้ ปีหน้าควรมาพบปะกันอีก เพื่อมาเล่าสู่กันฟังว่า เราได้ทำอะไรด้วยจิตวิญญาณฉือจี้นี้ไปบ้างในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ธรรมสัญจร สู่มูลนิธิพุทธฉือจี้
Sat, 09/20/2008 - 17:37 — somsak ข้อมูลของสื่อ
File Name: 346-016 เล่ม: 346 เดือน-ปี: 02/2008
คอลัมน์: บนเส้นทางชีวิต
หมวดหมู่: สุขภาพพอเพียง, จิตอาสา/ ฉือจี้, อารมณ์
ผู้เขียน: นพ.ประเวศ วะสี
ไปเที่ยวไต้หวัน๑
ไปเที่ยวไต้หวัน๑
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปไต้หวันอย่างไม่ได้วางแผนมาก่อนเมื่อวันที่ ๑๙ ถึงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ โดยได้ร่วมไปกับคณะของ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้(องค์กรมหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานสังกัด สำนักนายกรัฐมนตรี เรียกชื่อสั้นๆว่า “ศูนย์คุณธรรม” นำทีมโดยท่านอดีตรองนายกรัฐมนตรี นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และพลอากาศเอก วีรวิท คงศักดิ์ ท่านผู้อำนวยการศูนย์ อาจารย์ นราทิพย์ พุ่มทรัพย์ ก็ร่วมเดินทางไปด้วย กลุ่มที่ไปครั้งนี้เน้น กลุ่มสื่อสารมวลชนของประเทศไทย ให้ไปดูตัวอย่าง “สื่อสีขาว” ของมูลนิธิพุทธฉือจี้ ประเทศไต้หวัน ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีโอกาสได้ร่วมดูงานกับคนที่อยู่ในวงการสื่อโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน เช่น คุณผุสชา โทณะวนิก เป็นต้น
ศูนย์คุณธรรม นำคณะคนไทยมาดูงานที่มูลนิธิพุทธฉือจี้ประเทศไต้หวัน ครั้งนี้เป็นคณะที่ ๑๐ แล้ว ในรอบ ๓ ปีที่ผ่านมานี้ อาจารย์นราทิพย์ บอกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของแผนแล้ว เพราะงบประมาณหมดแล้ว และมีแนวโน้มว่า คงไม่สามารถของบได้อีกแล้วเพราะรัฐบาลยุคหลังๆไม่มีใครให้ความสนใจเรื่องพวกนี้อีก คนที่มาในคณะนี้ ศูนย์คุณธรรมเป็นสปอนเซอร์ทุกอย่าง ส่วนข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่มาในฐานะคณะของศูนย์คุณธรรม ข้าพเจ้ามาในฐานะของอาสาสมัครมูลนิธิพุทธฉือจี้ !
ตอนที่ข้าพเจ้าไป ก็ไม่ได้ทราบมาก่อนว่าตัวเองได้รับการยอมรับเป็นอาสาสมัครฉือจี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทราบภายหลังว่าท่านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดราชบุรี นายแพทย์บุญเรียง ชูชัยแสงรัตน์ ได้คุยกับคุณสุชน แซ่เฮง และคุณเมตตา แซ่ชิว อาสาสมัครฉือจี้ อาวุโส ประจำประเทศไทย ที่มาเป็นวิทยากร บรรยาย งานจิตอาสาที่โรงพยาบาลโพธาราม เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ว่าอยากให้ ข้าพเจ้าไปดูงานกิจกรรมของ มูลนิธิพุทธฉือจี้ที่ประเทศไต้หวัน และต้องให้ดูให้ได้ลึกซึ้ง ถึงแก่นแท้ขององค์กร ให้สามารถเข้าพบท่านธรรมมาจารย์ให้ได้ หรือถึงขนาดให้สามารถเข้าพบพูดคุยได้ด้วย ถ้าเป็นไปได้ คุณสุชน ก็เลยแนะนำว่าให้ไปพร้อมคณะของศูนย์คุณธรรม นี้เลย บนโต๊ะอาหารเที่ยงที่โรงพยาบาลโพธาราม ข้าพเจ้าจึงถูกเชิญให้ไปไต้หวัน ตอนนั้นก็งงๆอยู่ คิดว่าพูดกันเล่นๆหรือเปล่า ข้าพเจ้าหันหน้ามาถามพี่บุญสืบเล่นๆ ว่าถ้าผมจะไป จะให้ไปหรือไม่ ท่านก็เมตตาอนุญาตจริงๆ ข้าพเจ้าจึงตอบตกลงไป (หลังจากข้าพเจ้าโทรไปขออนุญาตเจ้านายที่บ้านแล้ว) เมื่อรับประทานข้าวเสร็จก็มอบพาสปอร์ตข้าพเจ้าให้ไปทำวีซ่าเลย บอกคุณสุชน ว่าค่าใช้จ่ายส่วนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารับผิดชอบเอง(ประมาณสามหมื่นบาท) ตอนเย็นกลับมาถึงบ้านคิดว่า “เอ เราตัดสินใจเร็วไปหรือเปล่านะ”
คุณเมตตาบอกว่า ศูนย์คุณธรรมเคร่งครัดมาก ไม่ยอมให้ใครเพิ่มชื่อไปในคณะเขา ถ้าไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่เชิญไว้ แต่คนที่ประสานงานกับทางไต้หวันที่จะพาคณะไปคือคุณสุชนและคุณเมตตา ดังนั้นข้าพเจ้าก็ไปในนามของ คณะอาสาสมัครฉือจี้ ในประเทศไทย ที่พาศูนย์คุณธรรมไปดูงาน ในระหว่างไปดูงาน ๔ วัน ข้าพเจ้าจึงเป็นอาสาสมัครฉือจี้นอกทะเบียน (เพราะยังไม่มีชื่อในทะเบียนว่าเป็นอาสาสมัครฉือจี้) ข้าพเจ้าต้องแต่งกายให้ถูกระเบียบของอาสาสมัครฉือจี้ทุกประการ คือเสื้อสีเทา กางเกงสีขาว เข็มขัดฉือจี้ รองเท้าขาว ถุงเท้าขาว เสื้อต้องติดกระดุมทุกเม็ด เรื่องเครื่องแบบคุณเมตตาจะเอามาให้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ (ก่อนขึ้นเครื่องต้องเปลี่ยนใส่เครื่องแบบที่ห้องน้ำสนามบิน) ข้าพเจ้าต้องวางตัว ให้มีกิริยามารยาทเรียบร้อย ตามธรรมเนียมของอาสาสมัครฉือจี้ทุกประการ เขาเปรียบเทียบคนที่เข้าเป็นสมาชิกใหม่ใช้คำว่าเป็น “ลูกไก่” และต้องมี “แม่ไก่”คอยดูแล ระหว่าง ๔ วันที่ไปไต้หวันนี้ ไม่มีใครมาบอกข้าพเจ้าว่า ฉันเป็นแม่ไก่คอยดูแลเธอนะ ข้าพเจ้าก็คาดเดาดู คิดเองว่า คงเป็นคุณ เมตตา แซ่ชิว แน่เลย เพราะแกคอย ดูแลข้าพเจ้า ดูการแต่งตัว คอยแนะนำว่า ต้องทำอย่างไร อะไรไม่ให้ทำ พาไปที่ที่เราอยากไป คุณเมตตาบอกว่า ธรรมเนียมของเขา ถ้าคนใหม่ทำอะไรผิดเขาจะไม่มีการตำหนิกัน แต่เขาจะถามกันว่าใครเป็น “แม่ไก่” และ “แม่ไก่” จะโดนตำหนิแทน
เป็นความตั้งใจของข้าพเจ้าว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องไปประเทศไต้หวัน หนึ่งเพราะอยากมากราบ เจดีย์ที่เก็บอัฐิธาตุของ สมณะเฮี่ยงจัง (พระถังซัมจั๋ง) เพื่อระลึกถึงบุญคุณของท่าน ท่านเป็นผู้ที่ฝ่าอันตราย ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากประเทศอินเดีย ไปประเทศจีน ท่านเป็นมหาวีรบุรุษของประเทศจีนสมัยราชวงศ์ถัง ท่านเป็นมหาวีรบุรุษของพระพุทธศาสนาระดับสากล แม้ศาสนาพุทธจะสูญหายไปจากประเทศอินเดีย คนศาสนาอื่นได้ทำลายสังเวยชนียสถานและกลบฝังให้หายสาบสูญไปกว่า ๗๐๐ ปี แต่เพราะท่านทำให้ศาสนาพุทธไปประดิษฐานมั่นคงที่ประเทศจีน ทำให้มนุษยชาติอีกหลายพันล้านคนได้มีโอกาสฟังธรรมของพระพุทธเจ้า จดหมายเหตุการเดินทางของท่านสมณะเฮี่ยงจังทำให้ค้นพบสังเวชนียสถานของพระพุทธเจ้าทุกแห่งที่ประเทศอินเดีย เมื่อพวกเราได้ไปกราบสังเวชนียสถานที่อินเดีย เราจะระลึกถึงบุญคุณท่านทุกครั้ง หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ อัฐิธาตุของท่านถูกพบและถูกย้ายไปญี่ปุ่น และถูกย้ายมาอยู่ที่ไต้หวันในปัจจุบัน เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านประวัติของพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหลายพระองค์ ทั้งทางนิกายเถรวาทและมหายาน ข้าพเจ้าจะรู้สึกสะเทือนใจและประทับใจมาก ในวีรกรรม ที่ท่านได้กระทำมาแล้ว อย่างชนิดที่ เราจะคาดไม่ถึงว่าจะมีใครในโลกทำอย่างนี้ได้ ข้าพเจ้าต้องอุทานในใจว่า “ทำถึงขนาดนี้ เชียวหรือ” ในสายมหายานนอกจาก ท่านเฮี่ยงจังแล้ว ก็ยังมีอีกหลายองค์และองค์ที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้องค์หนึ่ง คือ ท่านพระภิกษุณี ธรรมาจารย์ เจิ้งเหยียน ผู้นำทางจิตวิญญาณของ เหล่าอาสาสมัครพุทธฉือจี้นี้เอง เมื่อข้าพเจ้าอ่านหนังสือประวัติและงานของท่านที่ไต้หวันแล้ว “ทำถึงขนาดนี้ เชียวหรือ” ก็ปรากฎขึ้นในดวงใจข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เกิดความตั้งใจว่าในชีวิตนี้ต้องไปไต้หวันดูผลงานของท่านให้เห็นกับตา และกราบท่านให้จงได้
วันแรก วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ต้องตื่นตั้งแต่ตี ๒ เพื่อให้ไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนตี ๔ เพื่อขึ้นเครื่องหกโมงเช้า(๐๖.๔๕ น.) สายการบินไชน่าแอร์ไลด์ เที่ยวบินที่ CI๐๐๖๘ ถึงสนามบินเจียงไคเช็ค เวลาประมาณ ๑๑.๒๕ น. อาหารเช้าบนเครื่องบิน คุณส้ม (อาสาสมัครฉือจี้ที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องการเดินทางทั้งหมด)ได้สั่งอาหารเจให้อาสาสมัครฉือจี้ทุกคน เป็นกติกาที่ผมทราบภายหลังว่า อาสาสมัครฉือจี้ทุกคนต้องรับประทานมังสะวิรัติ ถึงเวลาอาหาร แอร์โฮสเตส ได้นำอาหารเจมาเสริฟก่อน อาสาสมัครฉือจี้ทุกคนได้หมดยกเว้นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ชะเง้อรอเท่าไหร่ก็ไม่มา สุดท้ายจนทั้งลำเขาได้รับประทานกันทุกคนแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้อาหาร จึงถามเขา ปรากฏว่า จ่ายกล่องอาหารเจผิดคน ไปให้คนที่นั่งหลังข้าพเจ้า และเขาก็รับประทานหมดเรียบร้อยแล้ว อาหารที่เหลือบนเครื่องเป็นอาหารที่ไม่เจ ถ้าต้องการอาหารเจ เขาจะทำมาม่าเจมาให้แทน ข้าพเจ้าจึงขอไม่รับมาม่าเจ (แหมเสียเงินมานะจ๊ะ จะมารับประทานมาม่าบนเครื่องได้อย่างไร-ข้าพเจ้าคิด) มื้อนี้ขอรับประทานอาหารทั่วไปก่อนก็แล้วกัน (“แหม นึกว่าเคร่ง” พวกแอร์โฮสเตสคงคิด) ระหว่างนี้พวกแอร์สาวๆทั้งหลายวุ่นวายกันทั้งลำ พูดภาษาจีนกันโฉงเฉง ทางหัวหน้าแอร์ ดูอาวุโสมีอายุ ได้มาขอโทษข้าพเจ้า เรื่องนี้คงทราบไปถึงคุณส้ม เที่ยวกลับหัวหน้าแอร์ มาดูแลการจ่ายอาหารเจด้วยตนเอง
เมื่อถึงสนามบิน ผ่าน ด่านตรวจคนเข้าเมือง เรียบร้อยก็พบกับคณะของอาสาสมัครฉือจี้ไต้หวันทั้งหญิงและชายจำนวนมากมาตั้งแถวรับ ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน เป็นเพลงภาษาจีนมีความหมาย ว่าพวกเรายินดีต้อนรับ อะไรทำนองนั้น จากนั้นถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก แล้วขึ้นรถบัสไปสถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย ถึงสถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น.
สถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายเป็นสถานีโทรทัศน์ชั้นนำของไต้หวัน ตั้งอยู่ที่กรุงไทเป ต้าแปลว่า ยิ่งใหญ่ อ้าย แปลว่า ความรัก รวมแล้ว แปลว่า ความรักอันยิ่งใหญ่ (ที่ชาวฉือจี้นำเอาพระมหาเมตตาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามอบถวายแด่ชาวโลกทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา และทุกศาสนา) ต้าอ้ายมีอันดับความนิยมของประชาชน(rating) อยู่อันดับที่ ๖ ของไต้หวัน เป็นสถานีโทรทัศน์ในสังกัดของมูลนิธิพุทธฉือจี้ เป็น high light ของการดูงานในครั้งนี้ เราใช้เวลาดูงานถึง สามทุ่มครึ่งทีเดียว เพราะส่วนใหญ่ในคณะนี้คือสื่อมวลชนไทย เมื่อกลับไปแล้ว ผู้จัดก็คาดหวังว่า จะนำไปคิดว่าจะนำเสนออะไรให้ลูกหลานคนไทยดูบ้าง ครั้งนี้ทางฉือจี้จัดการต้อนรับระดับสูงสุด คณะผู้บริหารของสถานีทุกคน ตลอดจน CEO ล้วนมายืนเข้าแถวต้อนรับกันอย่างพร้อมเพรียง
ตึกอาคารสถานีเป็นตึก ๑๔ ชั้น เปิดดำเนินการมาได้ ๓ ปีแล้ว ถ้าเรามองจากเครื่องบินลงมา จะเห็นตึก เป็นรูปช่อดอกบัว อันเป็นสัญญาลักษณ์ LOGO ของชาวฉือจี้ทั่วโลก ดอกบัวเป็น ดอกไม้มงคล มีกล่าวถึงในพระไตรปิฏกหลายตอน และวัดของท่านธรรมมาจารย์ ก็ตั้งอยู่ในเมือง ฮวาเหลียน แปลเป็นไทยว่า ดอกบัว (ฮวา แปลว่าดอกไม้ เหลียง แปลว่า บัว) หรือ อุบลบุรี หรือ อุบลราชธานี เขาเล่าว่าสิ่งก่อสร้างทุกแห่งของฉือจี้ จะประกอบด้วยปริศนาธรรมทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ท่านธรรมมาจารย์ได้ชี้นำทุกขั้นตอนการก่อสร้าง สิ่งก่อสร้างทั้งปวงของมูลนิธิฉือจี้ จะออกมาจาก จิตวิญญาณของท่าน เพื่อให้เป็นสิ่งที่จะสอนคนได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงและตลอดไป (ดูแล้วข้าพเจ้าคิดถึง โรงมหรสพทางวิญญาณที่สวนโมกข์ มะพร้าวนาฬิเก โบสถ์ที่เขาพุทธทอง ของท่านเจ้าคุณอาจารย์พุทธทาส) อาคารสถานีโทรทัศน์นี้ สร้างด้วยเงินบริจาค และค่าดำเนินการ มาจากเงินบริจาคร้อยละ ๗๕ อีกร้อยละ ๒๕ ได้เงินมาจากการ แยกขยะ และนำมาขาย ทำโดยเหล่าอาสาสมัครฉือจี้กว่า หกหมื่นคนทั่วไต้หวัน รายการต่างๆออกอากาศเป็นภาษาต่างๆ ส่งผ่านดาวเทียม ๑๑ ดวงไปทั่วโลก เป็นที่น่าเสียดาย ไม่มีภาษาไทย สามารถเปิดชมได้ในประเทศไทย คนไทยดูถ้าไม่รู้ภาษาจีนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก
เมื่อพวกเราไปถึงสถานีโทรทัศน์ คณะอาสาสมัครฉือจี้ของไต้หวันก็มาเข้าแถวร้องเพลงต้อนรับกันอย่างสนุกสนาน เพลงที่ร้องต้อนรับ ข้าพเจ้าฟังหลายเที่ยวจนจำได้ เป็นเพลงเดียวกับที่เราฟังที่สนามบิน ตอนเราไปดูงานที่ไหนก็ตาม ก็จะพบบรรยากาศแบบเดียวกันนี้ (ยกเว้นวันที่เราไปที่สมณาราม จะเงียบสงบ)
เขาเชิญพวกเราเข้าไปห้องโถงใหญ่ ซึ่งมีขนาดสูงใหญ่ อลังการ มโหฬารมาก มีรูปท่านธรรมาจารย์เจิ้นเหยียนบนแผ่นผ้าหลังเวทีมีขนาดใหญ่มาก เทียบกับตัว ผู้บรรยายมีขนาดนิดเดียว รอบๆตกแต่งด้วยม่าน และรูปแบบหลังคาฉือจี้รอบๆห้อง ขนาดใหญ่ นับดู ได้แปดเหลี่ยม ใช่ เป็นห้องแปดเหลี่ยม จะมีความหมายว่ามรรคมีองค์แปดหรือเปล่าไม่ทราบ เราไปนั่งที่โต๊ะ จัดเลี้ยงประมาณ 12 โต๊ะ มีอาหารว่าง มีน้ำชา เริ่มต้นก็ มีการแสดงรำภาษามือเพลงโลกนี้มีความรัก ต้อนรับตามธรรมเนียม จากนั้นก็มีการกล่าวต้อนรับ แนะนำผู้บริหารระดับสูงของสถานีที่มาต้อนรับทุกคน จากนั้นก็บรรยายกิจการของสถานี ฉายวีดิทัศน์ประกอบ มีเนื้อหามากมาย ข้าพเจ้าพอสรุปได้ว่า
ท่านธรรมมาจารย์หลังจากได้ตัดสินใจออกบวชเป็นภิกษุณี ตามแนวทางนิกายพุทธมหายาน สำนักมนุษยนิยมของหลวงปู่อิ้นซุ่น(มรณภาพ เมื่อ ๔ มิย. ๒๕๔๘ อายุ ๑๐๑ ปี)แล้วได้มีปณิธาน ตามสำนักที่ท่านบวช ท่านเห็นว่า แดนสุขาวดีที่มนุษย์ทั้งหลายต้องการไปไม่ต้องสวดมนต์อ้อนวอน และรอให้ตายก่อนแล้วถึงจะได้ไปเกิดใหม่บนแดนสุขาวดี ที่ว่าเป็นสวรรค์ทางทิศตะวันตก ที่มีพระพุทธเจ้าอมิตาภะสถิตอยู่ พร้อมสาวกคือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(เจ้าแม่กวนอิม) และพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ อีกท่านหนึ่ง แต่แดนสุขาวดีที่แท้จริงแล้ว อยู่ในโลกใบนี้เอง เราต้องสร้างโลกใบนี้ให้เป็นแดนสุขาวดี โดยการปฏิบัติธรรมให้จิตเราบริสุทธิ โดยการปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ยาก ตามอย่างรูปแบบที่ดีงามของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย สิ่งที่ทำให้โลกนี้แตกสลาย และที่คนเราเดือดร้อนอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะมนุษย์มีจิตใจไม่บริสุทธิ ตามหลักอมิตาสูตร เมื่อจิตใจเราได้รับการฝึกจนบริสุทธิแล้ว ก็จะเกิดสมาธิ เมื่อมีสมาธิตั้งมั่นก็จะเกิดปัญญา รู้แจ้งแทงตลอด จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ท่านได้ตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ชื่อพุทธฉือจี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ เพื่อประกอบภารกิจ ๘ ประการได้แก่การกุศล รักษาพยาบาล การศึกษา มนุษยธรรม บรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศ บริจาคไขกระดูก อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และอาสาสมัครชุมชน ๔๐ ปีต่อมา มีผลงานออกมามากมายทุกภารกิจ เป็นองค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ภารกิจที่สำคัญอันหนึ่งของท่านคือ เรื่องด้านมนุษย์ธรรม เมื่อได้ดำเนินกิจการของมูลนิธิมาถึงจุดหนึ่ง ที่จะต้องพัฒนาจิตของมนุษย์ให้บริสุทธิ์ เมื่อจิตมนุษย์บริสุทธิ์แล้ว ปัญหาของโลกเราที่ร้อนระอุ ไปด้วยภัยต่างๆ ทั้งภัยจากมนุษย์ด้วยกัน และภัยธรรมชาติก็จะบรรเทาเบาบางลง การชำระจิตมนุษย์ให้บริสุทธิ์ นอกจากจะอาศัยการศึกษา ตั้งแต่ยังเป็นเยาวชนแล้ว อิทธิพลของสื่อสารมวลชนในโลกนี้ ก็เป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่อ ทีวี เป็นสื่อที่สามารถชักนำสังคมให้เป็นไปทางดี และไม่ดีได้ ความเดือดร้อนในโลกเราทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากการสื่อสารมวลชนที่ไม่สร้างสรรค์ วัตถุนิยมทำให้คนอยากได้เงินทอง และความมั่งคั่งโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะตามมา ได้แก่ ภาวะโลกร้อน ภัยธรรมชาติที่มีถี่ขึ้น ค่านิยมด้านคุณธรรม จริยธรรมของมนุษย์เสื่อมลงไป พฤติกรรมมนุษย์หลายประการที่ไม่ดี มาจากการเลียนแบบจากสื่อ ทีวี เป็นต้น สถานีโทรทัศน์ต้องทำทุกอย่างเพื่อผลกำไร และความอยู่รอด โดยไม่คำนึงถึงผลเสียของการนำเสนอ “ยาพิษ” ป้อนให้เยาวชนของโลกได้เสพทุกๆวัน
สถานีโทรทัศน์ ต้าอ้าย ไม่มีโฆษณา นักจัดรายการส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร ฉือจี้ โดยมากเคยทำงานในสถานีโทรทัศน์เอกชนมาก่อน ต่อมาเกิดความตระหนักถึงผลลัพธ์ที่เกิดจากตนเองได้ทำไป เกิดความสลดใจ เมื่อมีโอกาสได้ทำสิ่งดีๆให้เยาวชนก็ย้ายมาทำที่นี่ หัวหน้าฝ่ายข่าวสาวคนหนึ่ง เล่าให้ผู้มาดูงานตอนหนึ่งว่า ครั้งหนึ่งมีข่าว ชายคนหนึ่งได้ ได้ล่วงละเมิดทางเพศ สาวซึ่งเป็นญาติใกล้ชิด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายมากในสังคมไต้หวัน ผู้สื่อข่าวท่านนี้ ก็ออกตามล่า เก็บข่าวคืบหน้าเรื่องนี้มาออกข่าวทุกๆวัน เพื่อเป็นการลงโทษ โดยการประจานชายผู้นี้ต่อสาธารณะ เพื่อให้สาสมกับที่เขาทำเรื่องไม่ดีงามเช่นนี้ขึ้นมา จนกระทั่งชายผู้นี้ทนไม่ไหว ฆ่าตัวตาย เพราะละอายใจ ไม่สามารถอยู่ในสังคมนี้ได้ จากข่าวที่ถูกแพร่กระจายทุกวัน นักข่าวผู้นี้บอกว่ารู้สึกสลดใจ ในการกระทำของตัวเองมาก แม้ว่าจะไม่ผิดกฎหมาย ไม่ได้เป็นคน “ฆ่า” เขาโดยตรง แต่เธอก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาต้องฆ่าตัวตาย
เมื่อเธอได้มาทำงานให้กับ สถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย ปรัชญาการทำงานได้ถูกปรับเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนเป็นการนำเสนอสิ่งที่ดีๆให้กับเพื่อนมนุษย์ทั้งในไต้หวันและทั่วโลก ทำให้คนที่รับข่าวสาร เกิดความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ชาวโลกด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามจะนับถือศาสนาอะไร ผิวสีอะไร ชาติอะไร ทุกคนเป็นผู้ที่ต้องให้ความรัก ความเมตตาทั้งนั้น เธอได้บรรยายถึงความรู้สึก ความประทับใจ ของการไปสื่อข่าวตอนเกิดมหันตภัยสึนามิที่เกิดเมื่อไม่นานมานี้ เธอทำหน้าที่สะท้อนความเจ็บปวดของมวลประชนชนที่ประสบภัยพิบัติ ให้กับชาวฉือจี้ทั่วโลกและชาวไต้หวันได้ทราบ ทำให้เกิดการระดม เงิน ทุน ฯลฯ ครั้งยิ่งใหญ่ของชาวฉือจี้ และประชาชนทั่วโลกมาช่วยผู้ประสบภัย และในทุกวันนี้ก็ยังช่วยอยู่ไม่หยุด
พวกเราอยู่ในห้องประชุม ฟังเรื่องกิจกรรมของสถานีนานมาก และต่อมาได้ออกไปดูสถานที่ต่างๆในตัวตึก เช่นห้อง ฝึกอ่านรายงานข่าวออกทีวี เจอ คลิบตัวอย่าง ที่คนไทยมาแสดงและอัดรายการไว้ คือพี่ พินิจ ผู้อำนวยการ รพ.นครปฐม และอีกหลายๆคน ไปดูห้องแสดงนิทรรศการ ประวัติและผลงานของท่านธรรมมาจารย์เจิ้นเหยียน เดินขึ้นบันไดเหมือนขึ้นไปตามปีที่ท่านทำงานมา กว่า ๔๐ ปี ไปดูห้องสร้างละคร เขาบอกว่า ละครของต้าอ้ายไม่เคยต้องไปซื้อบทประพันธ์ที่นักเขียนแต่งเรื่องละครขึ้นมาสร้างละคร แต่จะใช้จากชีวิตจริงของผู้ยากไร้ที่ชาวฉือจี้ไปช่วยเหลือไว้มากมาย เป็นเรื่องราวชีวิตจริงที่แทบไม่น่าเชื่อว่า ในโลกนี้จะมีคนที่ตกทุกข์ยากเข็ญได้ถึงขนาดนี้ ละครของต้าอ้าย เป็นละครที่มี Rating สูงสุดในไต้หวัน จนปัจจุบัน ละครน้ำเน่าแบบที่คนไทยชอบดูในไต้หวัน เริ่มลดความนิยมลง หันมาดูละครแบบต้าอ้ายมากขึ้น ช่องอื่นๆก็หันกลับมาสร้างละครแบบต้าอ้ายมาขึ้นเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของตนเองไว้ ขึ้นไปถึงชั้นที่เป็นศูนย์บัญชาการของสถานี ก็เป็นห้องที่มีจอทีวีมากมาย และมีคนนั่งดูมากมายเช่นกัน เขาบอกว่าเป็นที่รับสัญญาณข่าวและภาพจาก ผู้สื่อข่าวของต้าอ้ายทั่วโลก จะส่งผ่านดาวเทียมมาเข้าที่ห้องนี้ เพื่อประมวล วิเคราะห์ ตัดต่อ นำเสนอออกอากาศผ่านดาวเทียมไปทั่วไต้หวันและทั่วโลก มีระบบสำรองข้อมูล ระบบฉุกเฉิน คนที่ทำงานมีทั้งระดับเจ้าหน้าที่ (มีเงินเดือน) และระดับอาสาสมัคร(ไม่มีเงินเดือน) รายละเอียด คณะที่มาจากสถานีทีวีเมืองไทยก็ซักถามกันอย่างเอาจริงเอาจัง ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องทางเทคนิค
แรกๆพวกเราก็ได้อาศัยคุณ วัชราภรณ์ (เจ้าหญิง) อาสาสมัครฉือจี้จากเมืองไทยเป็นล่ามแปล จีนเป็นไทย ไปๆมาๆ ก็พบว่าเจ้าหน้าเทคนิคของสถานี จบจากต่างประเทศกันทั้งนั้น พูดอังกฤษคล่อง เลยพูด ภาษาอังกฤษกันดีกว่า ไม่ต้องรอผ่านล่าม เสียเวลา เขาและเราต่างพอใจ ล่ามเลยไม่ต้องใช้ เจ้าหญิงก็ดีใจ คุณวัชราภรณ์ ตอนหลังมาโพธารามเป็นประจำ มาช่วยอบรมอาสาสมัครที่โพธาราม
มีกระปุกออมสิน แบบพิเศษแสดงให้ดู เวลาหยอดเหรียญทำบุญ เครื่องนี้จะร้องเพลงให้ฟัง ถ้าหยอดน้อย ก็ร้องเพลงขอบคุณแบบสั้น ถ้าหยอดมากก็จะร้องเพลงขอบคุณแบบยาว คนที่ดูรายการของต้าอ้าย ทำบุญมาบำรุงสถานีถึงร้อยละ ๗๕ ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดทีเดียว(เพราะไม่มีรายได้จากการโฆษณา)
ดูเสร็จแล้วยังต้องเข้าห้องประชุมอีก เพราะให้ซักถาม พวกคณะผู้บริหาร CEO ก็ยังอยู่รอให้เราซักถาม ถามกันจนถึงสามทุ่มครึ่งตามเวลาไต้หวัน เขาก็ดูอดทนมากให้เราถามกัน ว่ายินดีให้ถามถึงเที่ยงคืน ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ไหวแล้ว เช้านี้ตื่นตั้งแต่ตีสอง ยังไม่ได้งีบเลย ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้รับ อาจารย์นราทิพย์ บอกว่างานนี้เป็นการนำสื่อมวลชนไทยมา วันนี้เป็นวันที่ดูสื่อมวลชนต้าอ้าย ซึ่งเป็นช่วงที่มีค่ามากที่สุดสำหรับการเดินทางครั้งนี้ ถ้าไม่เน้นก็จะขาดสาระไป แต่ก็จำต้องยุติลงด้วยเวลา ก็ได้ลากลับ คุณส้มพาไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารที่มีตึกทรงประหลาดๆ คล้ายวังใต้บาดาล ถ่ายรูปมาไว้ดู บอกว่าเชิญทานตามสบายไม่กำหนดว่าจะกินเจ หรือไม่กินเจ แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้ ต้องเจตลอดจนถึงกลับเมืองไทย จากนั้นเข้าที่พัก โรงแรมที่ไทเปใกล้เที่ยงคืน ข้าพเจ้าหลับทันทีที่ถึงห้องพัก
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปไต้หวันอย่างไม่ได้วางแผนมาก่อนเมื่อวันที่ ๑๙ ถึงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ โดยได้ร่วมไปกับคณะของ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้(องค์กรมหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานสังกัด สำนักนายกรัฐมนตรี เรียกชื่อสั้นๆว่า “ศูนย์คุณธรรม” นำทีมโดยท่านอดีตรองนายกรัฐมนตรี นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และพลอากาศเอก วีรวิท คงศักดิ์ ท่านผู้อำนวยการศูนย์ อาจารย์ นราทิพย์ พุ่มทรัพย์ ก็ร่วมเดินทางไปด้วย กลุ่มที่ไปครั้งนี้เน้น กลุ่มสื่อสารมวลชนของประเทศไทย ให้ไปดูตัวอย่าง “สื่อสีขาว” ของมูลนิธิพุทธฉือจี้ ประเทศไต้หวัน ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีโอกาสได้ร่วมดูงานกับคนที่อยู่ในวงการสื่อโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน เช่น คุณผุสชา โทณะวนิก เป็นต้น
ศูนย์คุณธรรม นำคณะคนไทยมาดูงานที่มูลนิธิพุทธฉือจี้ประเทศไต้หวัน ครั้งนี้เป็นคณะที่ ๑๐ แล้ว ในรอบ ๓ ปีที่ผ่านมานี้ อาจารย์นราทิพย์ บอกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของแผนแล้ว เพราะงบประมาณหมดแล้ว และมีแนวโน้มว่า คงไม่สามารถของบได้อีกแล้วเพราะรัฐบาลยุคหลังๆไม่มีใครให้ความสนใจเรื่องพวกนี้อีก คนที่มาในคณะนี้ ศูนย์คุณธรรมเป็นสปอนเซอร์ทุกอย่าง ส่วนข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่มาในฐานะคณะของศูนย์คุณธรรม ข้าพเจ้ามาในฐานะของอาสาสมัครมูลนิธิพุทธฉือจี้ !
ตอนที่ข้าพเจ้าไป ก็ไม่ได้ทราบมาก่อนว่าตัวเองได้รับการยอมรับเป็นอาสาสมัครฉือจี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทราบภายหลังว่าท่านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดราชบุรี นายแพทย์บุญเรียง ชูชัยแสงรัตน์ ได้คุยกับคุณสุชน แซ่เฮง และคุณเมตตา แซ่ชิว อาสาสมัครฉือจี้ อาวุโส ประจำประเทศไทย ที่มาเป็นวิทยากร บรรยาย งานจิตอาสาที่โรงพยาบาลโพธาราม เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ว่าอยากให้ ข้าพเจ้าไปดูงานกิจกรรมของ มูลนิธิพุทธฉือจี้ที่ประเทศไต้หวัน และต้องให้ดูให้ได้ลึกซึ้ง ถึงแก่นแท้ขององค์กร ให้สามารถเข้าพบท่านธรรมมาจารย์ให้ได้ หรือถึงขนาดให้สามารถเข้าพบพูดคุยได้ด้วย ถ้าเป็นไปได้ คุณสุชน ก็เลยแนะนำว่าให้ไปพร้อมคณะของศูนย์คุณธรรม นี้เลย บนโต๊ะอาหารเที่ยงที่โรงพยาบาลโพธาราม ข้าพเจ้าจึงถูกเชิญให้ไปไต้หวัน ตอนนั้นก็งงๆอยู่ คิดว่าพูดกันเล่นๆหรือเปล่า ข้าพเจ้าหันหน้ามาถามพี่บุญสืบเล่นๆ ว่าถ้าผมจะไป จะให้ไปหรือไม่ ท่านก็เมตตาอนุญาตจริงๆ ข้าพเจ้าจึงตอบตกลงไป (หลังจากข้าพเจ้าโทรไปขออนุญาตเจ้านายที่บ้านแล้ว) เมื่อรับประทานข้าวเสร็จก็มอบพาสปอร์ตข้าพเจ้าให้ไปทำวีซ่าเลย บอกคุณสุชน ว่าค่าใช้จ่ายส่วนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารับผิดชอบเอง(ประมาณสามหมื่นบาท) ตอนเย็นกลับมาถึงบ้านคิดว่า “เอ เราตัดสินใจเร็วไปหรือเปล่านะ”
คุณเมตตาบอกว่า ศูนย์คุณธรรมเคร่งครัดมาก ไม่ยอมให้ใครเพิ่มชื่อไปในคณะเขา ถ้าไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่เชิญไว้ แต่คนที่ประสานงานกับทางไต้หวันที่จะพาคณะไปคือคุณสุชนและคุณเมตตา ดังนั้นข้าพเจ้าก็ไปในนามของ คณะอาสาสมัครฉือจี้ ในประเทศไทย ที่พาศูนย์คุณธรรมไปดูงาน ในระหว่างไปดูงาน ๔ วัน ข้าพเจ้าจึงเป็นอาสาสมัครฉือจี้นอกทะเบียน (เพราะยังไม่มีชื่อในทะเบียนว่าเป็นอาสาสมัครฉือจี้) ข้าพเจ้าต้องแต่งกายให้ถูกระเบียบของอาสาสมัครฉือจี้ทุกประการ คือเสื้อสีเทา กางเกงสีขาว เข็มขัดฉือจี้ รองเท้าขาว ถุงเท้าขาว เสื้อต้องติดกระดุมทุกเม็ด เรื่องเครื่องแบบคุณเมตตาจะเอามาให้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ (ก่อนขึ้นเครื่องต้องเปลี่ยนใส่เครื่องแบบที่ห้องน้ำสนามบิน) ข้าพเจ้าต้องวางตัว ให้มีกิริยามารยาทเรียบร้อย ตามธรรมเนียมของอาสาสมัครฉือจี้ทุกประการ เขาเปรียบเทียบคนที่เข้าเป็นสมาชิกใหม่ใช้คำว่าเป็น “ลูกไก่” และต้องมี “แม่ไก่”คอยดูแล ระหว่าง ๔ วันที่ไปไต้หวันนี้ ไม่มีใครมาบอกข้าพเจ้าว่า ฉันเป็นแม่ไก่คอยดูแลเธอนะ ข้าพเจ้าก็คาดเดาดู คิดเองว่า คงเป็นคุณ เมตตา แซ่ชิว แน่เลย เพราะแกคอย ดูแลข้าพเจ้า ดูการแต่งตัว คอยแนะนำว่า ต้องทำอย่างไร อะไรไม่ให้ทำ พาไปที่ที่เราอยากไป คุณเมตตาบอกว่า ธรรมเนียมของเขา ถ้าคนใหม่ทำอะไรผิดเขาจะไม่มีการตำหนิกัน แต่เขาจะถามกันว่าใครเป็น “แม่ไก่” และ “แม่ไก่” จะโดนตำหนิแทน
เป็นความตั้งใจของข้าพเจ้าว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องไปประเทศไต้หวัน หนึ่งเพราะอยากมากราบ เจดีย์ที่เก็บอัฐิธาตุของ สมณะเฮี่ยงจัง (พระถังซัมจั๋ง) เพื่อระลึกถึงบุญคุณของท่าน ท่านเป็นผู้ที่ฝ่าอันตราย ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากประเทศอินเดีย ไปประเทศจีน ท่านเป็นมหาวีรบุรุษของประเทศจีนสมัยราชวงศ์ถัง ท่านเป็นมหาวีรบุรุษของพระพุทธศาสนาระดับสากล แม้ศาสนาพุทธจะสูญหายไปจากประเทศอินเดีย คนศาสนาอื่นได้ทำลายสังเวยชนียสถานและกลบฝังให้หายสาบสูญไปกว่า ๗๐๐ ปี แต่เพราะท่านทำให้ศาสนาพุทธไปประดิษฐานมั่นคงที่ประเทศจีน ทำให้มนุษยชาติอีกหลายพันล้านคนได้มีโอกาสฟังธรรมของพระพุทธเจ้า จดหมายเหตุการเดินทางของท่านสมณะเฮี่ยงจังทำให้ค้นพบสังเวชนียสถานของพระพุทธเจ้าทุกแห่งที่ประเทศอินเดีย เมื่อพวกเราได้ไปกราบสังเวชนียสถานที่อินเดีย เราจะระลึกถึงบุญคุณท่านทุกครั้ง หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ อัฐิธาตุของท่านถูกพบและถูกย้ายไปญี่ปุ่น และถูกย้ายมาอยู่ที่ไต้หวันในปัจจุบัน เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านประวัติของพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหลายพระองค์ ทั้งทางนิกายเถรวาทและมหายาน ข้าพเจ้าจะรู้สึกสะเทือนใจและประทับใจมาก ในวีรกรรม ที่ท่านได้กระทำมาแล้ว อย่างชนิดที่ เราจะคาดไม่ถึงว่าจะมีใครในโลกทำอย่างนี้ได้ ข้าพเจ้าต้องอุทานในใจว่า “ทำถึงขนาดนี้ เชียวหรือ” ในสายมหายานนอกจาก ท่านเฮี่ยงจังแล้ว ก็ยังมีอีกหลายองค์และองค์ที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้องค์หนึ่ง คือ ท่านพระภิกษุณี ธรรมาจารย์ เจิ้งเหยียน ผู้นำทางจิตวิญญาณของ เหล่าอาสาสมัครพุทธฉือจี้นี้เอง เมื่อข้าพเจ้าอ่านหนังสือประวัติและงานของท่านที่ไต้หวันแล้ว “ทำถึงขนาดนี้ เชียวหรือ” ก็ปรากฎขึ้นในดวงใจข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เกิดความตั้งใจว่าในชีวิตนี้ต้องไปไต้หวันดูผลงานของท่านให้เห็นกับตา และกราบท่านให้จงได้
วันแรก วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ต้องตื่นตั้งแต่ตี ๒ เพื่อให้ไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนตี ๔ เพื่อขึ้นเครื่องหกโมงเช้า(๐๖.๔๕ น.) สายการบินไชน่าแอร์ไลด์ เที่ยวบินที่ CI๐๐๖๘ ถึงสนามบินเจียงไคเช็ค เวลาประมาณ ๑๑.๒๕ น. อาหารเช้าบนเครื่องบิน คุณส้ม (อาสาสมัครฉือจี้ที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องการเดินทางทั้งหมด)ได้สั่งอาหารเจให้อาสาสมัครฉือจี้ทุกคน เป็นกติกาที่ผมทราบภายหลังว่า อาสาสมัครฉือจี้ทุกคนต้องรับประทานมังสะวิรัติ ถึงเวลาอาหาร แอร์โฮสเตส ได้นำอาหารเจมาเสริฟก่อน อาสาสมัครฉือจี้ทุกคนได้หมดยกเว้นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ชะเง้อรอเท่าไหร่ก็ไม่มา สุดท้ายจนทั้งลำเขาได้รับประทานกันทุกคนแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้อาหาร จึงถามเขา ปรากฏว่า จ่ายกล่องอาหารเจผิดคน ไปให้คนที่นั่งหลังข้าพเจ้า และเขาก็รับประทานหมดเรียบร้อยแล้ว อาหารที่เหลือบนเครื่องเป็นอาหารที่ไม่เจ ถ้าต้องการอาหารเจ เขาจะทำมาม่าเจมาให้แทน ข้าพเจ้าจึงขอไม่รับมาม่าเจ (แหมเสียเงินมานะจ๊ะ จะมารับประทานมาม่าบนเครื่องได้อย่างไร-ข้าพเจ้าคิด) มื้อนี้ขอรับประทานอาหารทั่วไปก่อนก็แล้วกัน (“แหม นึกว่าเคร่ง” พวกแอร์โฮสเตสคงคิด) ระหว่างนี้พวกแอร์สาวๆทั้งหลายวุ่นวายกันทั้งลำ พูดภาษาจีนกันโฉงเฉง ทางหัวหน้าแอร์ ดูอาวุโสมีอายุ ได้มาขอโทษข้าพเจ้า เรื่องนี้คงทราบไปถึงคุณส้ม เที่ยวกลับหัวหน้าแอร์ มาดูแลการจ่ายอาหารเจด้วยตนเอง
เมื่อถึงสนามบิน ผ่าน ด่านตรวจคนเข้าเมือง เรียบร้อยก็พบกับคณะของอาสาสมัครฉือจี้ไต้หวันทั้งหญิงและชายจำนวนมากมาตั้งแถวรับ ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน เป็นเพลงภาษาจีนมีความหมาย ว่าพวกเรายินดีต้อนรับ อะไรทำนองนั้น จากนั้นถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก แล้วขึ้นรถบัสไปสถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย ถึงสถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น.
สถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายเป็นสถานีโทรทัศน์ชั้นนำของไต้หวัน ตั้งอยู่ที่กรุงไทเป ต้าแปลว่า ยิ่งใหญ่ อ้าย แปลว่า ความรัก รวมแล้ว แปลว่า ความรักอันยิ่งใหญ่ (ที่ชาวฉือจี้นำเอาพระมหาเมตตาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามอบถวายแด่ชาวโลกทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา และทุกศาสนา) ต้าอ้ายมีอันดับความนิยมของประชาชน(rating) อยู่อันดับที่ ๖ ของไต้หวัน เป็นสถานีโทรทัศน์ในสังกัดของมูลนิธิพุทธฉือจี้ เป็น high light ของการดูงานในครั้งนี้ เราใช้เวลาดูงานถึง สามทุ่มครึ่งทีเดียว เพราะส่วนใหญ่ในคณะนี้คือสื่อมวลชนไทย เมื่อกลับไปแล้ว ผู้จัดก็คาดหวังว่า จะนำไปคิดว่าจะนำเสนออะไรให้ลูกหลานคนไทยดูบ้าง ครั้งนี้ทางฉือจี้จัดการต้อนรับระดับสูงสุด คณะผู้บริหารของสถานีทุกคน ตลอดจน CEO ล้วนมายืนเข้าแถวต้อนรับกันอย่างพร้อมเพรียง
ตึกอาคารสถานีเป็นตึก ๑๔ ชั้น เปิดดำเนินการมาได้ ๓ ปีแล้ว ถ้าเรามองจากเครื่องบินลงมา จะเห็นตึก เป็นรูปช่อดอกบัว อันเป็นสัญญาลักษณ์ LOGO ของชาวฉือจี้ทั่วโลก ดอกบัวเป็น ดอกไม้มงคล มีกล่าวถึงในพระไตรปิฏกหลายตอน และวัดของท่านธรรมมาจารย์ ก็ตั้งอยู่ในเมือง ฮวาเหลียน แปลเป็นไทยว่า ดอกบัว (ฮวา แปลว่าดอกไม้ เหลียง แปลว่า บัว) หรือ อุบลบุรี หรือ อุบลราชธานี เขาเล่าว่าสิ่งก่อสร้างทุกแห่งของฉือจี้ จะประกอบด้วยปริศนาธรรมทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ท่านธรรมมาจารย์ได้ชี้นำทุกขั้นตอนการก่อสร้าง สิ่งก่อสร้างทั้งปวงของมูลนิธิฉือจี้ จะออกมาจาก จิตวิญญาณของท่าน เพื่อให้เป็นสิ่งที่จะสอนคนได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงและตลอดไป (ดูแล้วข้าพเจ้าคิดถึง โรงมหรสพทางวิญญาณที่สวนโมกข์ มะพร้าวนาฬิเก โบสถ์ที่เขาพุทธทอง ของท่านเจ้าคุณอาจารย์พุทธทาส) อาคารสถานีโทรทัศน์นี้ สร้างด้วยเงินบริจาค และค่าดำเนินการ มาจากเงินบริจาคร้อยละ ๗๕ อีกร้อยละ ๒๕ ได้เงินมาจากการ แยกขยะ และนำมาขาย ทำโดยเหล่าอาสาสมัครฉือจี้กว่า หกหมื่นคนทั่วไต้หวัน รายการต่างๆออกอากาศเป็นภาษาต่างๆ ส่งผ่านดาวเทียม ๑๑ ดวงไปทั่วโลก เป็นที่น่าเสียดาย ไม่มีภาษาไทย สามารถเปิดชมได้ในประเทศไทย คนไทยดูถ้าไม่รู้ภาษาจีนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก
เมื่อพวกเราไปถึงสถานีโทรทัศน์ คณะอาสาสมัครฉือจี้ของไต้หวันก็มาเข้าแถวร้องเพลงต้อนรับกันอย่างสนุกสนาน เพลงที่ร้องต้อนรับ ข้าพเจ้าฟังหลายเที่ยวจนจำได้ เป็นเพลงเดียวกับที่เราฟังที่สนามบิน ตอนเราไปดูงานที่ไหนก็ตาม ก็จะพบบรรยากาศแบบเดียวกันนี้ (ยกเว้นวันที่เราไปที่สมณาราม จะเงียบสงบ)
เขาเชิญพวกเราเข้าไปห้องโถงใหญ่ ซึ่งมีขนาดสูงใหญ่ อลังการ มโหฬารมาก มีรูปท่านธรรมาจารย์เจิ้นเหยียนบนแผ่นผ้าหลังเวทีมีขนาดใหญ่มาก เทียบกับตัว ผู้บรรยายมีขนาดนิดเดียว รอบๆตกแต่งด้วยม่าน และรูปแบบหลังคาฉือจี้รอบๆห้อง ขนาดใหญ่ นับดู ได้แปดเหลี่ยม ใช่ เป็นห้องแปดเหลี่ยม จะมีความหมายว่ามรรคมีองค์แปดหรือเปล่าไม่ทราบ เราไปนั่งที่โต๊ะ จัดเลี้ยงประมาณ 12 โต๊ะ มีอาหารว่าง มีน้ำชา เริ่มต้นก็ มีการแสดงรำภาษามือเพลงโลกนี้มีความรัก ต้อนรับตามธรรมเนียม จากนั้นก็มีการกล่าวต้อนรับ แนะนำผู้บริหารระดับสูงของสถานีที่มาต้อนรับทุกคน จากนั้นก็บรรยายกิจการของสถานี ฉายวีดิทัศน์ประกอบ มีเนื้อหามากมาย ข้าพเจ้าพอสรุปได้ว่า
ท่านธรรมมาจารย์หลังจากได้ตัดสินใจออกบวชเป็นภิกษุณี ตามแนวทางนิกายพุทธมหายาน สำนักมนุษยนิยมของหลวงปู่อิ้นซุ่น(มรณภาพ เมื่อ ๔ มิย. ๒๕๔๘ อายุ ๑๐๑ ปี)แล้วได้มีปณิธาน ตามสำนักที่ท่านบวช ท่านเห็นว่า แดนสุขาวดีที่มนุษย์ทั้งหลายต้องการไปไม่ต้องสวดมนต์อ้อนวอน และรอให้ตายก่อนแล้วถึงจะได้ไปเกิดใหม่บนแดนสุขาวดี ที่ว่าเป็นสวรรค์ทางทิศตะวันตก ที่มีพระพุทธเจ้าอมิตาภะสถิตอยู่ พร้อมสาวกคือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(เจ้าแม่กวนอิม) และพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ อีกท่านหนึ่ง แต่แดนสุขาวดีที่แท้จริงแล้ว อยู่ในโลกใบนี้เอง เราต้องสร้างโลกใบนี้ให้เป็นแดนสุขาวดี โดยการปฏิบัติธรรมให้จิตเราบริสุทธิ โดยการปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ยาก ตามอย่างรูปแบบที่ดีงามของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย สิ่งที่ทำให้โลกนี้แตกสลาย และที่คนเราเดือดร้อนอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะมนุษย์มีจิตใจไม่บริสุทธิ ตามหลักอมิตาสูตร เมื่อจิตใจเราได้รับการฝึกจนบริสุทธิแล้ว ก็จะเกิดสมาธิ เมื่อมีสมาธิตั้งมั่นก็จะเกิดปัญญา รู้แจ้งแทงตลอด จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ท่านได้ตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ชื่อพุทธฉือจี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ เพื่อประกอบภารกิจ ๘ ประการได้แก่การกุศล รักษาพยาบาล การศึกษา มนุษยธรรม บรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศ บริจาคไขกระดูก อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และอาสาสมัครชุมชน ๔๐ ปีต่อมา มีผลงานออกมามากมายทุกภารกิจ เป็นองค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ภารกิจที่สำคัญอันหนึ่งของท่านคือ เรื่องด้านมนุษย์ธรรม เมื่อได้ดำเนินกิจการของมูลนิธิมาถึงจุดหนึ่ง ที่จะต้องพัฒนาจิตของมนุษย์ให้บริสุทธิ์ เมื่อจิตมนุษย์บริสุทธิ์แล้ว ปัญหาของโลกเราที่ร้อนระอุ ไปด้วยภัยต่างๆ ทั้งภัยจากมนุษย์ด้วยกัน และภัยธรรมชาติก็จะบรรเทาเบาบางลง การชำระจิตมนุษย์ให้บริสุทธิ์ นอกจากจะอาศัยการศึกษา ตั้งแต่ยังเป็นเยาวชนแล้ว อิทธิพลของสื่อสารมวลชนในโลกนี้ ก็เป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่อ ทีวี เป็นสื่อที่สามารถชักนำสังคมให้เป็นไปทางดี และไม่ดีได้ ความเดือดร้อนในโลกเราทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากการสื่อสารมวลชนที่ไม่สร้างสรรค์ วัตถุนิยมทำให้คนอยากได้เงินทอง และความมั่งคั่งโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะตามมา ได้แก่ ภาวะโลกร้อน ภัยธรรมชาติที่มีถี่ขึ้น ค่านิยมด้านคุณธรรม จริยธรรมของมนุษย์เสื่อมลงไป พฤติกรรมมนุษย์หลายประการที่ไม่ดี มาจากการเลียนแบบจากสื่อ ทีวี เป็นต้น สถานีโทรทัศน์ต้องทำทุกอย่างเพื่อผลกำไร และความอยู่รอด โดยไม่คำนึงถึงผลเสียของการนำเสนอ “ยาพิษ” ป้อนให้เยาวชนของโลกได้เสพทุกๆวัน
สถานีโทรทัศน์ ต้าอ้าย ไม่มีโฆษณา นักจัดรายการส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร ฉือจี้ โดยมากเคยทำงานในสถานีโทรทัศน์เอกชนมาก่อน ต่อมาเกิดความตระหนักถึงผลลัพธ์ที่เกิดจากตนเองได้ทำไป เกิดความสลดใจ เมื่อมีโอกาสได้ทำสิ่งดีๆให้เยาวชนก็ย้ายมาทำที่นี่ หัวหน้าฝ่ายข่าวสาวคนหนึ่ง เล่าให้ผู้มาดูงานตอนหนึ่งว่า ครั้งหนึ่งมีข่าว ชายคนหนึ่งได้ ได้ล่วงละเมิดทางเพศ สาวซึ่งเป็นญาติใกล้ชิด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายมากในสังคมไต้หวัน ผู้สื่อข่าวท่านนี้ ก็ออกตามล่า เก็บข่าวคืบหน้าเรื่องนี้มาออกข่าวทุกๆวัน เพื่อเป็นการลงโทษ โดยการประจานชายผู้นี้ต่อสาธารณะ เพื่อให้สาสมกับที่เขาทำเรื่องไม่ดีงามเช่นนี้ขึ้นมา จนกระทั่งชายผู้นี้ทนไม่ไหว ฆ่าตัวตาย เพราะละอายใจ ไม่สามารถอยู่ในสังคมนี้ได้ จากข่าวที่ถูกแพร่กระจายทุกวัน นักข่าวผู้นี้บอกว่ารู้สึกสลดใจ ในการกระทำของตัวเองมาก แม้ว่าจะไม่ผิดกฎหมาย ไม่ได้เป็นคน “ฆ่า” เขาโดยตรง แต่เธอก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาต้องฆ่าตัวตาย
เมื่อเธอได้มาทำงานให้กับ สถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย ปรัชญาการทำงานได้ถูกปรับเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนเป็นการนำเสนอสิ่งที่ดีๆให้กับเพื่อนมนุษย์ทั้งในไต้หวันและทั่วโลก ทำให้คนที่รับข่าวสาร เกิดความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ชาวโลกด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามจะนับถือศาสนาอะไร ผิวสีอะไร ชาติอะไร ทุกคนเป็นผู้ที่ต้องให้ความรัก ความเมตตาทั้งนั้น เธอได้บรรยายถึงความรู้สึก ความประทับใจ ของการไปสื่อข่าวตอนเกิดมหันตภัยสึนามิที่เกิดเมื่อไม่นานมานี้ เธอทำหน้าที่สะท้อนความเจ็บปวดของมวลประชนชนที่ประสบภัยพิบัติ ให้กับชาวฉือจี้ทั่วโลกและชาวไต้หวันได้ทราบ ทำให้เกิดการระดม เงิน ทุน ฯลฯ ครั้งยิ่งใหญ่ของชาวฉือจี้ และประชาชนทั่วโลกมาช่วยผู้ประสบภัย และในทุกวันนี้ก็ยังช่วยอยู่ไม่หยุด
พวกเราอยู่ในห้องประชุม ฟังเรื่องกิจกรรมของสถานีนานมาก และต่อมาได้ออกไปดูสถานที่ต่างๆในตัวตึก เช่นห้อง ฝึกอ่านรายงานข่าวออกทีวี เจอ คลิบตัวอย่าง ที่คนไทยมาแสดงและอัดรายการไว้ คือพี่ พินิจ ผู้อำนวยการ รพ.นครปฐม และอีกหลายๆคน ไปดูห้องแสดงนิทรรศการ ประวัติและผลงานของท่านธรรมมาจารย์เจิ้นเหยียน เดินขึ้นบันไดเหมือนขึ้นไปตามปีที่ท่านทำงานมา กว่า ๔๐ ปี ไปดูห้องสร้างละคร เขาบอกว่า ละครของต้าอ้ายไม่เคยต้องไปซื้อบทประพันธ์ที่นักเขียนแต่งเรื่องละครขึ้นมาสร้างละคร แต่จะใช้จากชีวิตจริงของผู้ยากไร้ที่ชาวฉือจี้ไปช่วยเหลือไว้มากมาย เป็นเรื่องราวชีวิตจริงที่แทบไม่น่าเชื่อว่า ในโลกนี้จะมีคนที่ตกทุกข์ยากเข็ญได้ถึงขนาดนี้ ละครของต้าอ้าย เป็นละครที่มี Rating สูงสุดในไต้หวัน จนปัจจุบัน ละครน้ำเน่าแบบที่คนไทยชอบดูในไต้หวัน เริ่มลดความนิยมลง หันมาดูละครแบบต้าอ้ายมากขึ้น ช่องอื่นๆก็หันกลับมาสร้างละครแบบต้าอ้ายมาขึ้นเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของตนเองไว้ ขึ้นไปถึงชั้นที่เป็นศูนย์บัญชาการของสถานี ก็เป็นห้องที่มีจอทีวีมากมาย และมีคนนั่งดูมากมายเช่นกัน เขาบอกว่าเป็นที่รับสัญญาณข่าวและภาพจาก ผู้สื่อข่าวของต้าอ้ายทั่วโลก จะส่งผ่านดาวเทียมมาเข้าที่ห้องนี้ เพื่อประมวล วิเคราะห์ ตัดต่อ นำเสนอออกอากาศผ่านดาวเทียมไปทั่วไต้หวันและทั่วโลก มีระบบสำรองข้อมูล ระบบฉุกเฉิน คนที่ทำงานมีทั้งระดับเจ้าหน้าที่ (มีเงินเดือน) และระดับอาสาสมัคร(ไม่มีเงินเดือน) รายละเอียด คณะที่มาจากสถานีทีวีเมืองไทยก็ซักถามกันอย่างเอาจริงเอาจัง ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องทางเทคนิค
แรกๆพวกเราก็ได้อาศัยคุณ วัชราภรณ์ (เจ้าหญิง) อาสาสมัครฉือจี้จากเมืองไทยเป็นล่ามแปล จีนเป็นไทย ไปๆมาๆ ก็พบว่าเจ้าหน้าเทคนิคของสถานี จบจากต่างประเทศกันทั้งนั้น พูดอังกฤษคล่อง เลยพูด ภาษาอังกฤษกันดีกว่า ไม่ต้องรอผ่านล่าม เสียเวลา เขาและเราต่างพอใจ ล่ามเลยไม่ต้องใช้ เจ้าหญิงก็ดีใจ คุณวัชราภรณ์ ตอนหลังมาโพธารามเป็นประจำ มาช่วยอบรมอาสาสมัครที่โพธาราม
มีกระปุกออมสิน แบบพิเศษแสดงให้ดู เวลาหยอดเหรียญทำบุญ เครื่องนี้จะร้องเพลงให้ฟัง ถ้าหยอดน้อย ก็ร้องเพลงขอบคุณแบบสั้น ถ้าหยอดมากก็จะร้องเพลงขอบคุณแบบยาว คนที่ดูรายการของต้าอ้าย ทำบุญมาบำรุงสถานีถึงร้อยละ ๗๕ ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดทีเดียว(เพราะไม่มีรายได้จากการโฆษณา)
ดูเสร็จแล้วยังต้องเข้าห้องประชุมอีก เพราะให้ซักถาม พวกคณะผู้บริหาร CEO ก็ยังอยู่รอให้เราซักถาม ถามกันจนถึงสามทุ่มครึ่งตามเวลาไต้หวัน เขาก็ดูอดทนมากให้เราถามกัน ว่ายินดีให้ถามถึงเที่ยงคืน ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ไหวแล้ว เช้านี้ตื่นตั้งแต่ตีสอง ยังไม่ได้งีบเลย ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้รับ อาจารย์นราทิพย์ บอกว่างานนี้เป็นการนำสื่อมวลชนไทยมา วันนี้เป็นวันที่ดูสื่อมวลชนต้าอ้าย ซึ่งเป็นช่วงที่มีค่ามากที่สุดสำหรับการเดินทางครั้งนี้ ถ้าไม่เน้นก็จะขาดสาระไป แต่ก็จำต้องยุติลงด้วยเวลา ก็ได้ลากลับ คุณส้มพาไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารที่มีตึกทรงประหลาดๆ คล้ายวังใต้บาดาล ถ่ายรูปมาไว้ดู บอกว่าเชิญทานตามสบายไม่กำหนดว่าจะกินเจ หรือไม่กินเจ แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้ ต้องเจตลอดจนถึงกลับเมืองไทย จากนั้นเข้าที่พัก โรงแรมที่ไทเปใกล้เที่ยงคืน ข้าพเจ้าหลับทันทีที่ถึงห้องพัก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)